เรียกดูข้อมูลตาม ชื่อผู้แต่ง "ศรชัย ท้าวมิตร"
กำลังแสดง1 - 12 of 12
- Results Per Page
- ตัวเลือกการเรียงลำดับ
รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) วิจิตตรา ธัญวริษณิรินทร์; ศรชัย ท้าวมิตร; โชติ บดีรัฐการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ และ 3) ศึกษาประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ เป็นการวิจัย เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน ใช้วิธีการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตร Taro Yamane เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ วิธีแบบขั้นตอน (Stepwise regression analysis) เชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 36 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านระบบการดำเนินงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งในจังหวัดพิจิตร ไม่มีผู้จัดการบริการดูแลระยะยาว และผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เพียงพอ ขาดบุคลากรที่มีความรู้ในด้านสาธารณสุขโดยตรง ระบบมีการดำเนินงานหลายขั้นตอน นโยบายและแผนงานคู่มือระเบียบไม่ชัดเจน งบประมาณล่าช้าไม่เพียงพอ 2) ด้านระบบฐานข้อมูล ยังมีความล่าช้า เพราะแยกส่วนกันทำ ไม่มีการบูรณาการร่วมกัน 3) ด้านความร่วมมือ ยังขาดการประสาน การทำงานปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ทั้ง 7 ปัจจัย ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านวัสดุอุปกรณ์ ด้านการบริหารจัดการ ด้านเวลาในการปฏิบัติงาน ด้านเทคโนโลยี และด้านสภาพแวดล้อม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยเท่ากับ -.213, .141 .103, .043, .032, .024 และ .022 ตามลำดับ ได้ค่า Adjusted R Square = .020 หรือ ร้อยละ 20.00 ส่วนประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลสุขภาพระยะยาวครบทุกสิทธิการรักษาพยาบาล ทั้งด้านสิทธิบัตรทอง สิทธิเบิกราชการ และสิทธิประกันสังคมรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์บนฐานวิถีชีวิตใหม่ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงราย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ฉัตรชัย บัณฑิตรัตน์; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) การบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรม และแนวทางการบริหารทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์บนฐานวิถีชีวิตใหม่ ใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยวิจัยกลุ่มชาติพันธุ์ 2 กลุ่มคือ อาข่า และลาหู่ ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย 6 อำเภอ พบว่า เหตุการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 มีผลกระทบต่อการบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าวในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยเชิงคุณภาพ เรียงผลกระทบจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการประกอบอาชีพหรือทำงาน ด้านงานประเพณีและเทศกาลสำคัญ การถ่ายทอดกระบวนการเรียนรู้ ด้านการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม และด้านการดำรงวิถีชีวิต ทำให้วิถีความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ฐานวิถีชีวิตใหม่ กลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 2 กลุ่มมีการบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมอยู่ในระดับมาก ส่วนภาครัฐ หน่วยงานในท้องถิ่น และภาคเอกชนร่วมกันบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในระดับปานกลาง สอดคล้องกับงานวิจัยเชิงคุณภาพ เรียงลำดับการบริหารจัดการจากมากไปหาน้อย คือ ด้านวิธีการจัดการ การตลาด บุคลากร การสนับสนุนจากภาครัฐ วัตถุดิบ และด้านงบประมาณ อย่างไรก็ตามด้วยข้อจำกัดของภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร การไร้สัญชาติ ไม่มีสิทธิ์ในที่ดินทำกิน และพื้นที่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ห่างไกลเมือง โดยเฉพาะบนดอยพื้นสูงที่ ทำให้การช่วยเหลือในหลายพื้นที่ยังไม่พอเพียง จากข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์บนฐานวิถีชีวิตใหม่ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงรายในแต่ละด้าน พบว่า ส่วนใหญ่มุ่งเน้นการบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมให้เกิดความยั่งยืนโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และการใช้เทคโนโลยี ผู้วิจัยจึงใช้แนวคิดการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมออกแบบแนวทางการบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์บนฐานวิถีชีวิตใหม่ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงราย ประกอบด้วย 1. การบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมเชิงนโยบาย ภาครัฐควรทบทวนและกำหนดนโยบายเพื่อให้ความช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์วางนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาหลักๆ ที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐได้ โดยใช้หลักการ “จริงจัง จริงใจ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” 2. การบริหารจัดการทุนวัฒนธรรมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม โดยวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสร้างการมีส่วนร่วมโดยเทคนิคการมีส่วนร่วมในแต่ละระดับตั้งแต่ 1) การให้ข้อมูล (Inform) 2) การปรึกษาหารือ (Consult) 3) การเข้ามาเกี่ยวข้อง (Involve) และ 4) ความร่วมมือ (Collaborate)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน กรณีศึกษาเครือข่ายท่องเที่ยวโดยชุมชนสุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) กรรณิการ์ ไกรกิจราษฎร์; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการท่องเที่ยวถือมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจในระดับโลก ปัจจุบันจากสถิติพบว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจที่มากมายมหาศาลจากการท่องเที่ยวนั้น มีจำนวนมากขึ้นทุกปีต่อเนื่องกัน กล่าวได้ว่า การท่องเที่ยวมีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศ เพื่อการพัฒนาประเทศให้เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รัฐบาลของทุกประเทศจึงให้ความสำคัญกับนโยบาย ด้านการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก การวิจัยครั้งนี้ จึงมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริการจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน 2) เพื่อเปรียบเทียบและหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่อการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการการบริหารศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน เป็นวิธีวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน รวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา แจกแจงความถี่หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ทดสอบค่า t - test F - test รายคู่ LSD และหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การวิจัยเชิงคุณภาพ การสนทนากลุ่ม จำนวน 20 คน การสัมภาษณ์แบบเชิงลึก จำนวน 10 คน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน 15 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านการดึงดูดทางการท่องเที่ยว มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านศักยภาพของบุคลากรชุมชน ด้านการจัดการข้อมูลเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยว ด้านการสร้างการรับรู้คุณค่า ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ด้านการบริหารจัดการท่องเที่ยว และด้านความปลอดภัย 2) เปรียบเทียบและหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่อการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน พบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับด้านพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวกับการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยว พบว่า ด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยว และหากมีการจัดเส้นทางการท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวที่ไปท่องเที่ยวมากที่สุด มีความสัมพันธ์ในระดับสูงมาก (r = .778**, -.746** , P<.01 = 0.03, 0.00) ส่วนด้านอื่นมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูง-ต่ำตามลำดับ 3) แนวทางการการบริหารศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน พบว่า ต้องเริ่มจากคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ผู้นำชุมชนต้องเข้มแข็ง เครือข่ายทุกภาคส่วนต้องส่งเสริมผลักดัน ชุมชนต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดี สร้างความรู้สึกปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ รักษาความเป็นเอกลักษณ์ ความมีชื่อเสียง รู้รักหวงแหนมองเห็นคุณค่า เชื่อมโยงการท่องเที่ยวแบบบูรณาการ เข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟู อนุรักษ์ พัฒนา ต่อยอดสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนในชุมชน อย่างยั่งยืนรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) สุกัลยา ประจิตร; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสำรวจภาวะการมีงานทำจากการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร 2) เพื่อศึกษาปัญหาที่ส่งผลต่อการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนานโยบายส่งเสริมการ มีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง 400 คน ใช้การคำนวณกลุ่มตัวอย่างโดยสูตร Taro Yamane ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 14 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า 1) การสำรวจภาวะการมีงานทำต่อการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (x̄=2.73; S.D.= 0.71) เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ภาวะการมีงานทำอยู่ในระดับมาก 2 ด้าน ได้แก่ ด้านความต้องการแรงงานผู้สูงอายุของชุมชน (x̄= 3.97; S.D.= 0 .69) และด้านการสร้างการเห็นคุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุ (x̄ =3.87; S.D. = 0.93) และอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ ด้านอัตราค่าจ้าง สวัสดิการผู้สูงอายุ (x̄=1.66; S.D. = 0.55) 2)ปัญหาที่ส่งผลต่อการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร พบว่า ด้านข้อจำกัดทางด้านงบประมาณ (Beta =.761) ปัญหาด้านการสร้างมุมมองใหม่ในสังคมสำหรับผู้สูงอายุ (Beta =.397) ด้านการขาดการประสานงานความร่วมมือในพื้นที่ (Beta =.439) ตามลำดับและ 3)แนวทางการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร พบว่า แรงงานผู้สูงอายุต้องการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมมือกับเอกชนให้ส่งเสริมการมีงานทำของผู้สูงอายุและต้องการให้จัดอบรมพัฒนาทักษะให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานปัจจุบัน รวมถึงร่วมบูรณาการขับเคลื่อนนโยบายกับหน่วยงานอื่น ๆ อย่างจริงจัง และติดตามผลการดำเนินการเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนรายการ เมทาเดทาเท่านั้น ตัวแบบเชิงบูรณาการในการส่งเสริมการเกษตรมูลค่าสูงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดปทุมธานี(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) วรรณวิภา ไตลังคะ; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการเกษตรเป็นภาคเศรษฐกิจสําคัญ การขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปภาคเกษตรโดยการสร้างเกษตรมูลค่าสูงจึงเป็นหมุดหมายลำดับแรก ซึ่งความร่วมมือเชิงบูรณาการของทุกภาคส่วนถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพ ปัญหา และคุณลักษณะการส่งเสริมการเกษตรมูลค่าสูง 2) พัฒนาตัวแบบเชิงบูรณาการในการส่งเสริมการเกษตรมูลค่าสูง และ 3) นำเสนอแนวทางการนำตัวแบบเชิงบูรณาการในการส่งเสริมการเกษตรมูลค่าสูงไปสู่การปฎิบัติ เก็บข้อมูลเชิงปริมาณ จากทีมบริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พื้นที่จังหวัดปทุมธานี จำนวน 280 คน และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 24 คน ใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน เพื่อวิเคราะห์สมการโครงสร้าง ทดสอบความสัมพันธ์ และความสอดคล้องของโมเดล ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดปทุมธานี มีการส่งเสริมการเกษตรมูลค่าสูงได้ดีที่สุด ในด้านการขยายระบบชลประทาน รองลงมาคือ การปรับเปลี่ยนพื้นที่ การรวมผลิตรวมจำหน่าย การเพิ่มมูลค่าสินค้าตามแนวทาง BCG การสร้างผู้ประกอบการเกษตร การเข้าถึง Big data ด้านการเกษตร การส่งเสริมสหกรณ์การเกษตรเข้มแข็ง และการพัฒนาคลัสเตอร์ทางชีวภาพ ตามลำดับ 2) ผลการตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของตัวแบบกับข้อมูลเชิงประจักษ์ พบค่าที่แสดงว่าตัวแบบผ่านเกณฑ์และมีความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างคือ chi-square = 980.145, chi-square/df = 2.841, p = 0.000, CFI = 0.945, IFI = 0.942, และ RMSEA = 0.074 และ 3) แนวทางการนำตัวแบบไปปฎิบัติคือ การป้องกันโซนเกษตร การบริหารจัดการน้ำไฟฟ้าแสงสว่าง การสร้างตลาดชุมชน การทำทะเบียนกลุ่มอาชีพ การส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร การจัดโครงการศึกษาดูงานเกษตรกรรมยั่งยืน การจัดกิจกรรมฟื้นฟูและอนุรักษ์ การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงการทำฐานข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่เป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์รายการ เมทาเดทาเท่านั้น ประสิทธิผลการนำนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวไปปฏิบัติในอำเภอแแม่สอด จังหวัดตาก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ปุณณดา ทรงอิทธิสุข; ศรชัย ท้าวมิตร; โชติ บดีรัฐแรงงานข้ามชาติหรือแรงงานต่างด้าวเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจภาคส่วนต่างๆ ของประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลแต่ละสมัยได้มีนโยบายที่ชัดเจนในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว แต่จะพบว่า มาตรการต่างๆ ของภาครัฐทั้งในส่วนกลางและท้องถิ่น เกี่ยวกับการควบคุมดูแลการเข้าเมือง การขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว สวัสดิการ การจ้างงาน และคุณภาพชีวิตด้านอื่นๆ ของแรงงานยังอยู่ในสภาวะที่ประสบกับความล้มเหลว ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาเรื่อง ประสิทธิผลการนำนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวไปปฏิบัติในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิผลการนำนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวของหน่วยงานรัฐไปปฏิบัติในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จและความล้มเหลวของหน่วยงานรัฐในการนำนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวไปปฏิบัติในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และ 3) เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการทำงานของหน่วยงานรัฐเกี่ยวกับการนำนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวไปปฏิบัติในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methodology) กล่าวคือ เป็นการนำเทคนิควิธีการวิจัยเชิงปริมาณและเทคนิควิธีการวิจัยเชิงคุณภาพมาผสมผสานกัน โดยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เท่ากับจำนวน 316 ตัวอย่าง ใช้เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ผลการวิจัย พบว่า ความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิผลการนำนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาก โดยเห็นด้วยกับการที่มีการใช้กฎหมายควบคุมการขออนุญาตการทำงานของคนต่างด้าวมากที่สุด (Mean = 4.47, S.D. = 0.702) และที่ระดับน้อยที่สุด คือ ระบบและกระบวนการขออนุญาตการทำงานของคนต่างด้าวมีความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น (Mean = 3.94, S.D. = 0.640) ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการนำนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ระดับความคิดเห็นที่มากที่สุด คือ นโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวมีความชัดเจนและนำไปปฏิบัติได้จริง โดยค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (Mean = 4.58, S.D. = 0.664) แต่ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ซึ่งปัจจัยที่มีระดับความคิดเห็นสำคัญ คือ มีการจัดศูนย์ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน (Mean = 3.74, S.D. = 0.756)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ดำรงค์ ทองศรี; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการขยะมูลฝอย 2. เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอย และ 3. เพื่อศึกษาแนวทางในการสร้างรูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงผสานวิธี ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประชากร ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จำนวน 14,705 หลังคาเรือน มีประชากร 30,637 คน การสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Taro Yamane ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 390 ครัวเรือน ๆ ละ 1 คน รวมถึงผู้ตัวอย่าง 390 คน ซึ่งผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างจากครัวเรือนในแต่ละชุมชนโดยใช้ตารางเลขสุ่ม (Table of Random Numbers) ส่วนการศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพ ด้วยการสนทนากลุ่ม (Focus Group) ผลการวิจัย พบว่า สภาพการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ มีผลการดำเนินงานเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ มี 3 ปัจจัย คือ 1. ปัจจัยด้านความรู้ความเข้าใจในการจัดการขยะมูลฝอย 2. ปัจจัยด้านทัศนคติต่อการจัดการขยะมูลฝอย และ 3. ปัจจัยด้านพฤติกรรมในการจัดการขยะมูลฝอย ส่วนแนวทางในการสร้างรูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ พบว่าได้ค้นพบรูปแบบ “UTTARA Model” ซึ่งมีแนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอย 6 ด้าน ตามขั้นตอน UTTARA Model ประกอบด้วย 1. ด้านการกระตุ้นให้ร่วมมือจัดการขยะมูลฝอย (Urge : U) 2. ด้านการคัดแยกขยะมูลฝอย (Trash Distinguish : T) 3. ด้านการเก็บขนขยะมูลฝอย (Transport : T) 4. ด้านการฝังกลบขยะมูลฝอย (Action Landfill : A) 5. ด้านการกำจัดขยะมูลฝอย (Rid Waste : R) และ 6. การแต่งตั้งคณะทำงานด้านขยะมูลฝอย (Appoint : A) นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขความสำเร็จของการใช้รูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 2 เงื่อนไข ได้แก่ 1. ความตั้งใจของฝ่ายบริหารและฝ่ายปฏิบัติการทุกระดับ และ 2. ความร่วมมือของภาคีเครือข่ายและแกนนำภาคประชาชนในพื้นที่ จากการตรวจสอบรูปแบบฯ พบว่า รูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ตามแนวทาง UTTARA Model มีความเหมาะสม มีความเป็นไปได้ และมีความเป็นประโยชน์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดรายการ เมทาเดทาเท่านั้น ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายธงฟ้าประชารัฐไปปฏิบัติในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ดนัย จันทร์สามเรือน; ศรชัย ท้าวมิตร; โชติ บดีรัฐการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความสำเร็จในการนำนโยบายธงฟ้าประชารัฐไปปฏิบัติ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายธงฟ้าประชารัฐไปปฏิบัติ และ 3) ศึกษาข้อเสนอแนะแนวทางในการนำนโยบายธงฟ้าประชารัฐไปปฏิบัติในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้ประกอบการร้านค้าที่เข้าร่วมโครงสร้างธงฟ้าประชารัฐ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งยังเปิดกิจการอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2564 จำนวน 353 คน ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับวิเคราะห์วิธีการทางสถิติคือ การหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสมการโครงสร้าง (SEM) ผลการวิจัยพบว่า 1. ความสำเร็จในการนำนโยบายธงฟ้าประชารัฐไปปฏิบัติในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบว่า โดยรวมอยู่ระดับมาก 2. ปัจจัยคุณลักษณะของผู้ประกอบการ ปัจจัยช่องทางการจัดจำหน่าย และปัจจัยเครือข่ายผู้ประกอบการธงฟ้ามีผลในทางบวกต่อความสำเร็จในการนำนโยบายธงฟ้าประชารัฐไปปฏิบัติในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ผู้ประกอบการร้านธงฟ้าประชารัฐ ควรเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้มีความหลากหลายมีการจัดทำข้อมูลในการบริหารร้านค้าอย่างจริงจัง สร้างเครือข่ายผู้ประกอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดของภาครัฐในการดำเนินการตามนโยบายรายการ เมทาเดทาเท่านั้น รูปแบบการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติในจังหวัดสระบุรี(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) วาธิณี วงศาโรจน์; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรปัจจุบันในประเทศไทย เด็กปฐมวัยมีปัญหาสุขภาพ ได้แก่ ด้านพัฒนาการเด็กและการเล่น ด้านการเจริญเติบโตและโภชนาการ ด้านสุขภาพช่องปากและฟัน และด้านสิ่งแวดล้อมความปลอดภัยและป้องกันควบคุมโรค และเด็กปฐมวัยได้รับการดูแลในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นส่วนใหญ่ จึงมีความจำเป็นที่ต้องศึกษาการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ในการศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหา 2) ระดับการบริหาร 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ พื้นที่จังหวัดสระบุรี และ 4) เพื่อนำเสนอรูปแบบการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ พื้นที่จังหวัดสระบุรี โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผู้รับผิดชอบงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ภาคีเครือข่าย ผู้บริหาร และครูผู้ดูแลเด็ก ในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย สังกัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัดสระบุรี จำนวนทั้งสิ้น 235 คน และสัมภาษณ์ผู้บริหารสังกัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัดสระบุรี กระทรวงละ 1 คน รวมจำนวน 4 คน และสนทนากลุ่ม ผู้รับผิดชอบงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ภาคีเครือข่าย ผู้บริหาร และครูผู้ดูแลเด็ก ในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย สังกัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัดสระบุรี สังกัดละ 5 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ โดยใช้สถิติในการวิเคราะห์ครั้งนี้ ได้แก่ Percentage, mean median, Standard deviation,Multiple Regression analysis, Content Analysis ผลการศึกษาพบว่า 1. สภาพปัจจุบันและปัญหาการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ พื้นที่จังหวัดสระบุรี มีทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ ด้านพัฒนาการเด็กและการเล่น ด้านการเจริญเติบโตและโภชนาการ ด้านสุขภาพช่องปากและฟัน และด้านสิ่งแวดล้อมความปลอดภัยและป้องกันควบคุมโรค 2. ระดับการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ พื้นที่จังหวัดสระบุรี อยู่ในระดับมากที่สุด 3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ พื้นที่จังหวัดสระบุรี พบว่า ปัจจัยการมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ คือ ปัจจัยด้านครอบครัว และปัจจัยด้านชุมชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .000 และ .001 ตามลำดับ ส่วนปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก มีผลต่อการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ คือ ปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม และปัจจัยด้านกฎหมาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .035, .039 และ .000 ตามลำดับ 4. รูปแบบการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ พื้นที่จังหวัดสระบุรีไปปฏิบัติที่เด่นชัดที่สุดคือ ควรมีการส่งเสริมปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมทั้งในด้านครอบครัว และด้านชุมชน ส่วนปัจจัยภายนอก คือ ปัจจัยด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านกฎหมายรายการ เมทาเดทาเท่านั้น รูปแบบการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดเพชรบุรี(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) จักร ศิริรัตน์; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) เพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการสร้างรูปแบบการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเพชรบุรี การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างผู้บริหารและบุคลากรขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 337 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน และการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เจาะลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหรือบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องในองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 11 ท่าน วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลทำโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1.การบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในลำดับแรก ได้แก่ ด้านการตรวจสอบสภาพแวดล้อม รองลงมาคือ ด้านการกำหนดทิศทาง ด้านการกำหนดกลยุทธ์ ด้านการปฏิบัติตามกลยุทธ์ และด้านการควบคุมและประเมินผล ตามลำดับ ส่วนปัจจัยการบริหาร โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในลำดับแรก ได้แก่ ด้านกลยุทธ์ รองลงมาคือ ด้านโครงสร้าง ด้านระบบ ด้านบุคคล ด้านรูปแบบ ด้านค่านิยมร่วม และด้านที่มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านทักษะ ตามลำดับ 2.ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ด้านบุคคล (X₅) ด้านโครงสร้าง (X₂) ด้านรูปแบบ (X₃) ด้านค่านิยมร่วม (X₇) และด้านกลยุทธ์ (X₁) มีประสิทธิภาพในการทำนาย ร้อยละ 70.20 สามารถเขียนเป็นสมการการถดถอยได้ดังนี้ Ŷₜₒₜ tot = 1.514 + 0.133(X₅) + 0.145(X₂) + 0.156(X₃) + 0.109(X₇) + 0.111(X₁) 3.รูปแบบการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเพชรบุรี คือ “4S2PV Model” ประกอบด้วย กลยุทธ์ (S: Strategy) โครงสร้าง (S: Structure) ระบบ (S: System) ทักษะ (S: Skill) รูปแบบ (P: Pattern) บุคคล (P: Person) และค่านิยมร่วม (V: Values)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดเพชรบุรี(2566) ณัทกวี ศิริรัตน์; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยการบริหารงานและการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) ศึกษาปัจจัยการบริหารงานที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดเพชรบุรี และ 3) เสนอรูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดเพชรบุรี การศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณโดยเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 398 คน ด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน และการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับนายก ปลัด หัวหน้าส่วนสวัสดิการสังคม เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตัวแทนสาธารณสุข ตัวแทนจิตอาสาพัฒนาสังคม ประธานชมรมผู้สูงอายุ สมาชิกชมรมผู้สูงอายุ และตัวแทนผู้สูงอายุในจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 24 คน วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลทำโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1.ปัจจัยการบริหารงานการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในลำดับแรกได้แก่ ด้านการร่วมมือกันทำงานระหว่างองค์กรและประชาชน รองลงมาคือ ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินงาน ด้านวิสัยทัศน์ นโยบาย และยุทธศาสตร์ ด้านการติดตามและประเมินผล และด้านงบประมาณ ส่วนการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในลำดับแรกได้แก่ ด้านความสัมพันธ์ทางสังคม รองลงมาคือ ด้านวัฒนธรรม ด้านจิตใจ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านความพึงพอใจในชีวิต ด้านร่างกาย และด้านสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ตามลำดับ 2.ปัจจัยการบริหารงานที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ได้แก่ ด้านการร่วมมือกันทำงานระหว่างองค์กรและประชาชน (X₂) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินงาน (X₁) ด้านวิสัยทัศน์ นโยบาย และยุทธศาสตร์ (X₃) และด้านงบประมาณ (X₅) มีประสิทธิภาพในการทำนาย ร้อยละ 83.10 สามารถเขียนเป็นสมการการถดถอยได้ดังนี้ tot = -0.660 + 0.919(X₂) + 0.277(X₁) + 0.156(X₃) - 0.164(X₅) 3.รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ “PWPMB Model” ประกอบด้วย การมีส่วนร่วมของประชาชน (P: Public Participation) ความร่วมมือกันทำงาน (W: Working Together) การวางแผน (P: Planning) การติดตามและประเมินผล (M: Monitoring and Evaluation) และงบประมาณ (B: Budget)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น รูปแบบการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) พัฒณปกรณ์ ดอนตุ้มไพร; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ซี่งมีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ (1) เพื่อศึกษาปัญหาการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก (2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก (3) เพื่อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 400 คน และกลุ่มเป้าหมายผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 27 คน ผลการวิจัยพบว่า การมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก โดยรวมพบว่า อยู่ในระดับปานกลาง (x̄ = 3.06) เมือแยกเป็นรายด้าน พบว่า การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมในการเลือกบุคคลเป็นผู้แทนระดับท้องถิ่น (x̄= 3.80) ด้านการมีส่วนร่วมลงคะแนนเลือกตั้งผู้แทนระดับท้องถิ่น (x̄= 3.80) และด้านการมีส่วนร่วมในการติดตามข้อมูลข่าวสารการเมืองระดับท้องถิ่น (x̄ = 3.62) และการมีส่วนร่วมอยู่ในระดับน้อย 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมการติดตามตรวจสอบโครงการ (x̄ = 2.39) และด้านการมีส่วนร่วมตรวจสอบแผนพัฒนา 3 ปี (x̄ = 2.10) ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการติดตามข้อมูลข่าวสารทางการเมืองระดับท้องถิ่น อยู่ในระดับมาก (2) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการทำประชาคม ประชาวิจารณ์เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาในระดับท้องถิ่น อยู่ในระดับปานกลาง (3) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการคัดเลือกบุคคลเป็นตัวแทนและลงคะแนนเลือกตั้งระดับท้องถิ่น (4) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น อยู่ในระดับน้อย (5) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบและติดตามแผนพัฒนาท้องถิ่น อยู่ในระดับน้อย