เรียกดูข้อมูลตาม ชื่อผู้แต่ง "พัชราวลัย มีทรัพย์"
กำลังแสดง1 - 4 of 4
- Results Per Page
- ตัวเลือกการเรียงลำดับ
รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้านโดยใช้ Google Site ในรายวิชาวอลเลย์บอล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนสรรพวิทยาคม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) กรรณิการ์ ดิษชกรร; พัชราวลัย มีทรัพย์การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้านโดยใช้ Google site ในรายวิชาวอลเลย์บอลของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสรรพวิทยาคม ในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะพื้นฐานวอลเลย์บอล เจตคติต่อการเรียน และ ความพึงพอใจของนักเรียน โดยกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ซึ่งได้มาจากประชากรที่ทำการทดสอบสมรรถภาพก่อนเรียนรายวิชาพลศึกษาที่มีผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกาย จำนวน 2 ห้อง และสุ่มแบ่งนักเรียนเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มห้องเรียนกลับด้าน (นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7) และกลุ่มปกติ (นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2) จำนวนนักเรียนกลุ่มละ 42 คน และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านแผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนปกติ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ แบบประเมินทักษะพื้นฐานวอลเลย์บอล แบบวัดเจตคติต่อการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนของกลุ่มห้องเรียนกลับด้านสูงกว่ากลุ่มปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ผลการประเมินทักษะพื้นฐานวอลเลย์บอลหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มห้องเรียนกลับด้านสูงกว่ากลุ่มห้องเรียนปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 เจตคติต่อการเรียนของนักเรียนของกลุ่มห้องเรียนกลับด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.67, S.D. = .12) ความพึงพอใจของนักเรียนของกลุ่มห้องเรียนกลับด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.90, S.D. = .10)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาเกมแอปพลิเคชัน เพื่อส่งเสริมความคงทนในการจำคำศัพท์ HSK ระดับที่ 2 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) พัชรี ปุ่มสันเทียะ; ปิยมนัส วรวิทย์รัตนกุล; พัชราวลัย มีทรัพย์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาคุณภาพของเกมแอปพลิเคชัน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาความคงทนในการจำคำศัพท์ภาษาจีน 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเกมแอปพลิเคชัน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินคุณภาพของเกมแอปพลิเคชัน แบบวัดผลสัมฤทธิทางการเรียน แบบวัดความคงทนในการจำคำศัพท์ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test dependent samples One-Way ANOVA และค่าร้อยละ ผลการวิจัย พบว่า 1) คุณภาพของเกมแอปพลิเคชัน ด้านเนื้อหาอยู่ในระดับ ดีมาก (x̄= 4.60, S.D.= 0.61) ด้านเทคนิค อยู่ในระดับ ดี (x̄= 4.27, S.D.= 0.45) 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t-test = 11.62) 3) ความคงทนในการจำคำศัพท์ พบว่าหลังเรียนและหลังเรียน 7 วัน นักเรียนได้คะแนนแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญ นักเรียนยังมีความคงทนในการจำคำศัพท์ เมื่อทดสอบหลังเรียน 7 วัน และหลังเรียน 30 วัน พบว่านักเรียนได้คะแนนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยคะแนนหลังเรียน 30 วัน ต่ำกว่าคะแนนหลังเรียน 7 วัน นั้นหมายความว่า หลังเรียน 30 วัน ความคงทนในการจำคำศัพท์ของนักเรียนลดลง โดยค่าเฉลี่ยความคงทนในการจำคำศัพท์ของนักเรียนหลังเรียน 7 วัน ลดลงไม่เกิน 10 % เท่ากับ 9.88 และค่าเฉลี่ยความคงทนในการจำคำศัพท์ของนักเรียนหลังเรียน หลัง 30 วัน ลดลงไม่เกิน 30 % เท่ากับ 12.32 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเกมแอปพลิเคชัน อยู่ในระดับมาก (x̄= 4.38, S.D.= 0.08)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น ผลการใช้โปรแกรมพัฒนาศักยภาพครูในการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CREATIVES MODEL เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) วนัสนันท์ เกษประสิทธิ์; พัชราวลัย มีทรัพย์วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) สร้างโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพครูในการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CREATIVES MODEL เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) ศึกษาผลการพัฒนาศักยภาพครูในการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CREATIVES MODEL เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CREATIVESMODELเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ก่อนการทดลองและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนไกรในวิทยาคมรัชมังคลาภิเษก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบทดสอบการอบรมเชิงปฏิบัติการ 2) แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ 3) แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ ใช้สถิติทดสอบที (Pair-Sample t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) โปรแกรมการพัฒนาศักยภาพครูในการจัดการเรียนรู้รูปแบบCREATIVES MODEL มี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน ขั้นตอนที่ 2 การฝึกปฏิบัติเขียนและการวิพากษ์แผนการจัดการเรียนรู้ การนำไปใช้จัดการเรียนรู้ และการจัดนิทรรศการ ขั้นตอนที่ 3 การประเมินผลจากผลการประเมินความเหมาะสมของโปรแกรม พบว่า มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการพัฒนาศักยภาพครูเมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนการอบรมและหลังการอบรม พบว่า ความรู้ความเข้าใจของครูหลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรม และแผนการจัดการเรียนรู้ มีความสอดคล้อง/เชื่อมโยง/ครอบคลุม/เหมาะสม มากที่สุด และ 3) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้จากครูผู้เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการ โปรแกรมการพัฒนาศักยภาพครูในการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CREATIVES MODEL เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนมีค่าเฉลี่ยคะแนนความคิดสร้างสรรค์หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ เมทาเดทาเท่านั้น รูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครู : ศึกษากรณีนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ภาวิณี เดชเทศ; พัชราวลัย มีทรัพย์; ปัณณวิชญ์ ใบกุหลาบการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะ การใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น 2) เพื่อทดลองใช้รูปแบบ การเสริมสร้างสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การสร้างและพัฒนารูปแบบและระยะที่ 2 การทดลองใช้ รูปแบบ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาครูคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา และการทดสอบค่าที (t-test dependent) ผลการวิจัย พบว่า 1. รูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น ประกอบไปด้วย 5 ส่วน ได้แก่ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) เนื้อหาของรูปแบบ 4) กระบวนการเรียนรู้ และ 5) การวัดและประเมินผล ผลการประเมินคุณภาพ ของรูปแบบอยู่ในระดับมาก ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านอรรถประโยชน์ 2) ด้านความเป็นไปได้ 3) ด้านความเหมาะสม และ 4) ด้านความถูกต้อง ในภาพรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( x̄ = 4.31 , S.D = .193) 2. ผลการทดลองใช้รูปแบบ ตามองค์ประกอบของสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอน ในด้านความรู้ มีค่าเฉลี่ยหลังการอบรมอยู่ที่ =14.05 มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิต ที่ 0.05 ในด้านทักษะ ในขั้นการทดลองสอน ในภาพรวมในทุก ๆ องค์ประกอบ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 2.10 และการประเมินในขั้นตอนการสร้างและพัฒนาเครื่องมือ ในภาพรวมในทุก ๆ องค์ประกอบ มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ = 1.83 การประเมินสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอน ในขั้นตอนการนิเทศติดตาม จำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 การนิเทศการสอนโดยประเมินจากคลิปวิดีโอการสอน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 2.04 ครั้งที่ 2 เป็นการนิเทศการสอนที่สถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 2.33 ในด้านคุณลักษณะ การวัดระดับการรับรู้ความสามารถของตนในการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนของนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง ก่อนการอบรมและหลังการอบรม มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสูงขึ้นกว่าก่อนการอบรม ในทุกองค์ประกอบและการศึกษาผลการทบทวนหลังการปฏิบัติการ (AAR) ในทุกขั้นตอนของการใช รูปแบบทั้งหมด 4 ครั้ง