เรียกดูข้อมูลตาม ชื่อผู้แต่ง "ปิยมนัส วรวิทย์รัตนกุล"
กำลังแสดง1 - 3 of 3
- Results Per Page
- ตัวเลือกการเรียงลำดับ
รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาในรายวิชาวิทยาศาสตร์ผ่านคิวอาร์โค้ด เรื่องแรงและการเคลื่อนที่สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนบ้านวังแช่กลอย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) วัลลี ไหวพรม; ปิยมนัส วรวิทย์รัตนกุลการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาผ่านคิวอาร์โค้ดให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้สะเต็มศึกษาผ่านคิวอาร์โค้ดเรื่องแรงและการเคลื่อนที่ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนสะเต็มศึกษาผ่านคิวอาร์โค้ด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษานี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนบ้านวันเช่าลอย อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาเรื่องแรงและการเคลื่อนที่ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้สะเต็มศึกษาและแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาในรายวิชาวิทยาศาสตร์ผ่านคิวอาร์โค้ดเรื่องแรงและการเคลื่อนที่สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 80.7/183.97 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาผ่านคิวอาร์โค้ดเรื่องแรงและการเคลื่อนที่หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ผ่านคิวอาร์โค้ดเรื่องแรงและการเคลื่อนที่โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ =4.28, S.D. =0.38)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การปฐมพยาบาลผู้ป่วยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรียนท่าทองพิทยาคม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) มรกต วงษ์มี; ปิยมนัส วรวิทย์รัตนกุล; อนุ เจริญวงศ์ระยับการวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) สร้างและหาคุณภาพของบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการปฐมพยาบาลผู้ป่วยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์เรื่อง การปฐมพยาบาลผู้ป่วยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนท่าทองพิทยาคม เพื่อให้ผลสัมฤทธิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3) ศึกษาหาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์เรื่องการปฐมพยาบาล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 30 คนได้จากการเลือกแบบสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์การปฐมพยาบาล 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิทางการเรียน 3) แบบวัดความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นมีคุณภาพตามการประเมินของผู้เชี่ยวชาญทั้งทางด้านเทคโนโลยีและเนื้อหาและแบบวัดผลสัมฤทธิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้านความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ในระดับมากที่สุดแสดงว่างานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้และเกิดประโยชน์ต่อไปได้รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาเกมแอปพลิเคชัน เพื่อส่งเสริมความคงทนในการจำคำศัพท์ HSK ระดับที่ 2 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) พัชรี ปุ่มสันเทียะ; ปิยมนัส วรวิทย์รัตนกุล; พัชราวลัย มีทรัพย์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาคุณภาพของเกมแอปพลิเคชัน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาความคงทนในการจำคำศัพท์ภาษาจีน 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเกมแอปพลิเคชัน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินคุณภาพของเกมแอปพลิเคชัน แบบวัดผลสัมฤทธิทางการเรียน แบบวัดความคงทนในการจำคำศัพท์ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test dependent samples One-Way ANOVA และค่าร้อยละ ผลการวิจัย พบว่า 1) คุณภาพของเกมแอปพลิเคชัน ด้านเนื้อหาอยู่ในระดับ ดีมาก (x̄= 4.60, S.D.= 0.61) ด้านเทคนิค อยู่ในระดับ ดี (x̄= 4.27, S.D.= 0.45) 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t-test = 11.62) 3) ความคงทนในการจำคำศัพท์ พบว่าหลังเรียนและหลังเรียน 7 วัน นักเรียนได้คะแนนแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญ นักเรียนยังมีความคงทนในการจำคำศัพท์ เมื่อทดสอบหลังเรียน 7 วัน และหลังเรียน 30 วัน พบว่านักเรียนได้คะแนนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยคะแนนหลังเรียน 30 วัน ต่ำกว่าคะแนนหลังเรียน 7 วัน นั้นหมายความว่า หลังเรียน 30 วัน ความคงทนในการจำคำศัพท์ของนักเรียนลดลง โดยค่าเฉลี่ยความคงทนในการจำคำศัพท์ของนักเรียนหลังเรียน 7 วัน ลดลงไม่เกิน 10 % เท่ากับ 9.88 และค่าเฉลี่ยความคงทนในการจำคำศัพท์ของนักเรียนหลังเรียน หลัง 30 วัน ลดลงไม่เกิน 30 % เท่ากับ 12.32 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเกมแอปพลิเคชัน อยู่ในระดับมาก (x̄= 4.38, S.D.= 0.08)