วิทยานิพนธ์

Permanent URI for this collectionhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/165

ค้นหา

ผลลัพธ์การค้นหา

กำลังแสดง1 - 8 of 8
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาสภาพปัญหาและภารกิจของกองอาสารักษาดินแดนต่อการให้บริการประชาชน : กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) อำนวย รุ่งแจ้ง; พัฒนพันธ์ เขตดำัน
    การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและภารกิจของกองอาสารักษาดินแดนต่อการให้บริการประชาชน : กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อสภาพปัญหาและภารกิจของกองอาสารักษาดินแดนต่อการให้บริการประชาชน : กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการปฏิบัติงานในอนาคตของกองอาสารักษาดินแดน: กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณ ใช้กลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการกำหนดขนาดด้วยตารางสำเร็จรูปของ "Taro Yamane" ที่จำนวน 263 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติอนุมาน นำมาแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้กลุ่มตัวอย่างที่ได้จากวิธีการการสัมภาษณ์จำนวน 16 คน และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาแล้วสรุปผลเป็นความเรียง ผลการวิจัยพบว่า: 1.สภาพปัญหาและภารกิจของกองอาสารักษาดินแดนต่อการให้บริการประชาชน : กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร ทั้งหมด 6 ด้าน พบว่าในภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านสภาพแวดล้อมภายในองค์กร และรองลงมาตามลำดับ คือ ด้านความพึงพอใจ ด้านแนวทางการปรับปรุงในอนาคต ด้านการสร้างขวัญกำลังใจ และด้านงบประมาณ 2.เปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อสภาพปัญหาและภารกิจของกองอาสารักษาดินแดนต่อการให้บริการประชาชน : กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร แจกแจงตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เพศ อายุ สถานภาพสมรส และรายได้ มีผลต่อสภาพปัญหาและภารกิจของกองอาสารักษาดินแดนต่อการให้บริการประชาชน : กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร ส่วนระดับการศึกษา อาชีพ ไม่มีผลต่อสภาพปัญหาและภารกิจของกองอาสารักษาดินแดนต่อการให้บริการประชาชน : กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร 3.แนวทางในการปฏิบัติงานในอนาคตของกองอาสารักษาดินแดน: กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร ที่ได้จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 15 คน พบว่า การปฏิบัติงานในอนาคตของกองอาสารักษาดินแดนนั้น ควรมีการจัดแบ่งสายงานให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการมีสายบังคับบัญชาที่ชัดเจน มีกำลังพลที่เพียงพอในการปฏิบัติหน้าที่ มีอุปกรณ์เครื่องมือที่พร้อมในการทำงานและมียานพาหนะในการออกปฏิบัติงานเร่งด่วน เพราะในยุคปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า สังคมโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่บุคลากรของกองอาสารักษาดินแดนจะต้องมีการทำงานเชิงรุกมากขึ้น มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรสามารถฝึกทักษะ และพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่เกิดความเชี่ยวชาญในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการตระหนักและใส่ใจในเรื่องการให้บริการแก่ประชาชนที่เน้นความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    แนวทางการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา ภายใต้ความร่วมมือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) นันทพันธ์ คดคง; ธนัสถา โรจนตระกูล
    การศึกษาวิจัยเรื่อง แนวทางการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา ภายใต้ความร่วมมือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นต่อแนวทางการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา ภายใต้ความร่วมมือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา ภายใต้ความร่วมมือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งสถานสงเคราะห์ของคนชรา ภายใต้ความร่วมมือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณใช้กลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการกำหนดขนาด โดยใช้ตารางสำเร็จรูปของทาโรยามาเน่ (Yamane) จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนานำมาแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการใช้สถิติเชิงอนุมาน โดยใช้การทดสอบ t-test สถิติ F – test ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้กลุ่มตัวอย่างที่ได้จากวิธีการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และทำการสนทนากลุ่ม (Focus group) วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาแล้วสรุปผลเป็นความเรียง ผลการวิจัยพบว่า 1.ความคิดเห็นต่อแนวทางการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา ภายใต้ความร่วมมือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งหมด 6 ด้าน พบว่า โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านความมั่นคงทางสังคม ครอบครัว ผู้ดูแล และการคุ้มครอง และรองลงมาตามลำดับ คือ ด้านที่พักอาศัย ด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล ด้านเน้นทนาการ ด้านการสร้างรายได้ และด้านบริการทางสังคม และเครือข่ายการเกื้อหนุน 2.เปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา ภายใต้ความร่วมมือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เพศ อายุ อาชีพ รายได้ ผู้อุปการะเลี้ยงดู มีผลต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา ภายใต้ความร่วมมือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนระดับการศึกษา สถานภาพสมรส และ ไม่มีผลต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา 3.แนวทางในการส่งเสริม และสนับสนุนการจัดตั้งสถานสงเคราะห์ของคนชรา ภายใต้ความร่วมมือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จากการสัมภาษณ์และสนทนากลุ่ม พบว่า การจัดตั้งสถานสงเคราะห์ของคนชรา จะเกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นคือ การตระหนักและใส่ใจในในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล ด้านรายได้ ด้านที่พักอาศัย ด้านเน้นทนาการ ด้านความมั่นคงทางสังคม ครอบครัว ผู้ดูแล และการคุ้มครอง และด้านการสร้างบริการและเครือข่ายการเกื้อหนุน เพราะประเด็นเหล่านี้ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะส่งให้คุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้ผู้สูงอายุได้อยู่ดีกินดี และมีความสุขมากที่สุด เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นการแต่งเรื่องหรือสมมุติขึ้นมาเอง เพราะจากการสัมภาษณ์และสนทนากลุ่ม ก็ถือเป็นเครื่องการันตีได้ว่า ความต้องการเหล่านี้ยังมีอยู่จริง ซึ่งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องทราบถึงความต้องการเหล่านี้และต้องเร่งดำเนินการเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านี้ ผู้สูงอายุถือเป็นประชาชนคนหนึ่งในท้องถิ่นซึ่งมีสิทธิ์มีเสียงเหมือนวัยหนุ่มสาว แต่จะมีความแตกต่างกันก็วัยสังขารที่ล่วงโรย การบริหารสมัยใหม่จะต้องยึดคนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา ซึ่งหมายถึงทุกคนจะต้องได้รับบริการสาธารณะอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาความต้องการของประชาชนต่อผู้นำในอุดมคติตามหลักคุณธรรมจริยธรรมทางการปกครอง กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) สุภารัตน์ แก้วทองคำ; วงศกร เจียมเผ่า
    การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการของประชาชนต่อผู้นำในอุดมคติ ปัจจัยที่มีผลต่อความเป็นผู้นำ ตลอดจนแนวทางในการพัฒนาผู้นำในอุดมคติตามหลักคุณธรรมจริยธรรมทางการปกครอง เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้กลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการกำหนดขนาดด้วยตารางสำเร็จรูปของ “Taro Yamano” ที่จำนวน 392 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและเชิงอนุมาน ผลการวิจัยพบว่า: 1.ความต้องการของประชาชนต่อผู้นำในอุดมคติตามหลักคุณธรรมจริยธรรมทางการปกครอง กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ประชาชนมีความต้องการผู้นำในอุดมคติตามหลักคุณธรรมจริยธรรมทางการปกครองมากที่สุดในด้านหัวใจกับLic รองลงมา คือ ด้านพรหมวิหาร 4 ด้านหลักการบริหารทาง NPM ด้านสังคหวัตถุ 4 ด้านราชสังคหวัตถุ 4 และด้านธรรมาธิปไตย ตามลำดับ 2.ปัจจัยที่มีผลต่อความเป็นผู้นำในอุดมคติตามหลักคุณธรรมจริยธรรมทางการปกครอง กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ สถานภาพการสมรส ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ พบว่ามีผลต่อความต้องการของประชาชนต่อผู้นำในอุดมคติตามหลักคุณธรรมจริยธรรมทางการปกครอง 3.แนวทางในการพัฒนาผู้นำในอุดมคติตามหลักคุณธรรมจริยธรรมทางการปกครองควรศึกษาความต้องการของประชาชน ให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม หลักสำคัญที่ผู้นำต้องตระหนักและใส่ใจ คือ การมุ่งพัฒนาศักยภาพของตนเองในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านความรู้ ความสามารถ การนำหลักคุณธรรมจริยธรรม ทั้งด้านหลักธรรมาธิปไตย ด้านหลักสังคหวัตถุ 4 ด้านพรหมวิหาร 4 ด้านราชสังคหวัตถุ 4 ด้านหัวใจกับLic และด้านหลักการบริหารทาง NPM ที่จะต้องมุ่งเสริมและสร้างให้เกิดผลได้อย่างแท้จริง
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด กรณีศึกษาจังหวัดพิจิตร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) ชัชพิสิฐ เกตุหอม; วงศกร เจียมเผ่า
    การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และ 3) เพื่อเสนอแนะต่อแนวทางความเป็นไปได้ของผู้ว่าที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรงกรณีศึกษาจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้กลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการกำหนดขนาดด้วยตารางสำเร็จรูปของ “Taro Yamane” ที่จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา โดยนำมาแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และดำเนินงานตามมาตรฐาน และสถิติอนุมาน โดยการหาค่าสถิติทดสอบ (t - test) ค่าสถิติทดสอบ (F - test) ผลการวิจัยพบว่า 1.ความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด กรณีศึกษาจังหวัดพิจิตรทั้งหมด 4 ด้าน พบว่า ในภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการพัฒนา และรองลงมาตามลำดับ คือ ด้านการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน ด้านการบริหารงานแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ และด้านการจัดบริการสาธารณะตามหลักของ NPM (New Public Management) 2.เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า อายุ สถานภาพสมรส อาชีพ และรายได้ มีความคิดเห็นแตกต่างกันทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการพัฒนา ด้านการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน ด้านการจัดบริการสาธารณะตามหลัก NPM (New Public Management) และด้านการบริหารงานแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ ส่วนเพศ และระดับการศึกษา พบว่า ทุกด้านไม่มีความแตกต่างกัน อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3.ข้อเสนอแนะต่อแนวทางความเป็นไปได้ของผู้ว่าที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง พบว่า ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นว่า มากการเลือกตั้งผู้ว่าที่มาจากประชาชนโดยตรงเป็นไปได้จริง ก็ถือว่าเป็นกระบวนการสำคัญที่จะทำให้ประชาชนในท้องถิ่นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตัวแทนที่ดีและคนที่ตนเองไว้วางใจเข้าไปมีบทบาททางการเมืองแทนตน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามกระแสของสังคมในปัจจุบันก็ได้มีคนหลายกลุ่มต่างแสดงความคิดเห็น และวิพากษ์วิจารณ์ถึงผลดี ผลเสีย ที่จะเกิดขึ้นตามมา เพราะการเลือกตั้งผู้ว่าที่มาจากประชาชนโดยตรงนั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย ดังนั้น หากกระบวนการนี้จะเกิดผลได้จริงในทางปฏิบัติ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่องค์กรทุกภาคส่วนจะต้องมีการทำประชามติระดับชาติร่วมกัน เพื่อวางแผนและหาแนวทางที่สอดคล้องกับระบบการเมืองการปกครองของประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ระดับชุมชน สังคม จนถึงระดับประเทศชาติอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันปัญหาการทุจริต คอร์ปชั่น ที่ยังเป็นปัญหาเรื้อรังในการตรวจสอบและแก้ไขมายาวนาน
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    ความคิดเห็นของประชาชนต่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) ศิริลักษณ์ เพชรไทย; โชติ บดีรัฐ
    การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของประชาชนต่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบึงสีไฟ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความคิดเห็นของประชาชนต่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบึงสีไฟ และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้กลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการกำหนดขนาดด้วยตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติอนุมาน ผลการวิจัยพบว่า 1.ความคิดเห็นของประชาชนต่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร ทั้งหมด 5 ด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการอนุรักษ์และรักษาระบบนิเวศ รองลงมาตามลำดับ คือ ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการพักผ่อนหย่อนใจ ด้านการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์และอาคาร ด้านการส่งเสริมการประกอบอาชีพและด้านการระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ 2.ปัจจัยที่ส่งผลต่อความคิดเห็นของประชาชนต่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เพศ อายุ ภูมิลำเนา มีผลต่อความคิดเห็นของประชาชนต่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบึงสีไฟ ส่วน ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ ไม่มีผลต่อความคิดเห็นของประชาชนต่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร 3.แนวทางในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร พบว่า ควรมีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว โดยแต่งตั้งคณะกรรมการในระดับท้องถิ่นขึ้นมา เพื่อทำการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวให้มีรูปแบบการบริหารจัดการที่เป็นรูปธรรมทั้งนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน ชุมชน และประชาสังคมในท้องถิ่น เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ชุมชนท้องถิ่นของตนเอง ประเด็นสำคัญต้องมีการกระจายอำนาจ และจัดสรรผลประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวให้แก่องค์กรในเขตพื้นที่ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้เพื่อลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งควรมีส่งเสริมกิจกรรมให้เหมาะสมกับความต้องการของนักท่องเที่ยวและไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและความสมดุลในทุกๆ ด้านอย่างเป็นองค์รวม
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาแรงจูงใจของบุคลากรต่อการเข้ารับราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ กรณีศึกษาสำนักงานทรัพยากรน้ำ ภาค 9 จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2558) จิระนันท์ เบียมม่วง; พัฒนพันธ์ เขตต์กัน
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจของบุคลากรต่อการเข้ารับราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจของบุคลากรต่อการเข้ารับราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ และเพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการเข้ารับราชการในตำแหน่งประเภทวิชาการ กรณีศึกษาสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 9 จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 9 จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 132 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย และนำข้อมูลมาวิเคราะห์โดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการเข้ารับราชการในตำแหน่งประเภทวิชาการโดยใช้สถิติ t-test และ F-test ผลการศึกษาพบว่า แรงจูงใจของบุคลากรต่อการเข้ารับราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ อยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ด้านความก้าวหน้าในงาน ด้านการยอมรับทางสังคม ด้านการเพิ่มค่าตอบแทน ด้านการจ่ายเงินประจำตำแหน่ง สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจของบุคลากร พบว่าบุคลากรที่มีรายได้ต่างกัน มีผลต่อแรงจูงใจในการเข้ารับราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ ในด้านการยอมรับทางสังคม และด้านการจ่ายเงินประจำตำแหน่ง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่บุคลากรที่มีเพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา ตำแหน่งปัจจุบันต่างกัน ไม่มีผลต่อแรงจูงใจในการเข้ารับราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ ส่วนปัญหาและอุปสรรคที่พบคือ ด้านค่าตอบแทนที่ได้รับไม่สอดคล้องกับประสบการณ์ อายุการทำงาน และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของบุคลากร ดังนั้นควรมีการเพิ่มค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับภาระหน้าที่และงานที่ได้รับมอบหมาย เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการปฏิบัติงานที่ดีขึ้น
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา ภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) นพคุณ ถาวรกูล; วงศกร เจียมเผ่า
    การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา เพื่อเปรียบเทียบความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา และใช้เป็นแนวทางในการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชราขององค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดินในอนาคตเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้สุ่มตัวอย่างที่ได้จากการกำหนดขนาดด้วยตารางสำเร็จรูปของ "Taro Yamane" ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และที่ระดับความคลาดเคลื่อน ±5% ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยจะได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมคือ 223 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาโดยนำมาแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมาน โดยการหาค่าสถิติทดสอบ (t-test) และหาค่าสถิติทดสอบ (F-test) ผลการวิจัย พบว่า 1.ความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา ทั้งหมด 7 ด้าน อยู่ในระดับมาก สำหรับผลการพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านศาสนา และรองลงมาคือ ด้านอาชีวะบำบัด ด้านกายภาพบำบัด ด้านนันทนาการ ด้านการแพทย์และอนามัย ด้านสังคมสงเคราะห์ และด้านฌาปนกิจ 2.เปรียบเทียบความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา พบว่า ปัจจัยด้านอาชีพ และลักษณะการอยู่อาศัย มีผลต่อความคาดหวังของผู้สูงอายุในการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปัจจัยด้าน เพศ อายุ สถานภาพสมรส และรายได้ ไม่มีผลต่อความคาดหวังของผู้สูงอายุในการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา 3.แนวทางการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชราขององค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร เมื่อมีการจัดตั้งสถานสงเคราะห์แล้ว กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความคาดหวัง และความต้องการมากที่สุดให้มีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ทุกเช้าและก่อนนอน รวมทั้งควรจัดให้มีกิจกรรมทางศาสนา เช่น การฟังเทศน์ การนั่งสมาธิ ทุกวันพระ