เรียกดูข้อมูลตาม ชื่อผู้แต่ง "เอื้อมพร หลินเจริญ"
กำลังแสดง1 - 6 of 6
- Results Per Page
- ตัวเลือกการเรียงลำดับ
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาชุดกิจกรรมศิลปะ วิชาทัศนศิลป์ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) ปอลิน หยุ่นตระกูล; ปัณณธร ชัชวรัตน์; เอื้อมพร หลินเจริญการพัฒนาชุดกิจกรรมศิลปะ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์และหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมศิลปะ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ E1/E2 เท่ากับ 70/70 กล่าวคือ E1 คือ ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ คิดเป็นร้อยละของคะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบฝึกหัดและการประกอบกิจกรรม E2 คือ ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (พฤติกรรมที่เปลี่ยนในตัวผู้เรียนหลังเรียน) คิดเป็นร้อยละและคะแนนการทดสอบหลังเรียน เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะ และเพื่อศึกษาพฤติกรรมด้านความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะ โดยประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ชุดกิจกรรมศิลปะ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ 10 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 40 ข้อ และแบบประเมินพฤติกรรมความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะ ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม ถึง 18 กันยายน 2550 ได้ดำเนินการทดลองทั้งหมด 10 ชุด ชุดละ 1 ชั่วโมง รวม 10 ชั่วโมง ผลการวิจัยพบว่า: 1.ชุดกิจกรรมศิลปะ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในภาพรวมมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 70.26/70.70 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 70/70 ตามที่กำหนดไว้ 2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาศิลปะ หลังเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ สูงขึ้น 3.ระดับพฤติกรรมความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ ในภาพรวมอยู่ในระดับดีรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถ ในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ของนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) ยุคลธร สังข์สอน; อารีย์ ปริติกุล; เอื้อมพร หลินเจริญการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่หมายเพื่ออพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ของนักเรียนระดบการศึกษาขั้นพื้นฐาน การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนาดำเนินการ4 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานจากการสัมภาษณ์ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และนักเรียนโรงเรียนมาตรฐานสากลที่มีผลการปฏิบัติที่ด์จำนวน 3 โรงเรียน สัมภาษณ์ศึกษามีเทศก์และครูที่มีผลงานดีเด่น์ จำนวน 6 คน และรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร 2) สร้างและหาคุณภาพรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยผู้เชี่ยวชาญ 9 ท่าน และทดลองนำร่องกับนักเรียน์จำนวน 39 คน 3) ทดลองใช้และศึกษาผลการใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5 โรงเรียนอนุบาลบางมูลนาก "ราษฎร์อุทิศ"์ จำนวน 38 คน และ4) ศึกษาความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูผู้สอนจัดการเรียนรู้การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตามแนวทางของโรงเรียนมาตรฐานสากล นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด และแนวทางการจัดการเรียนรู้ เพื่อการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ได้แก่ การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน และการจัดการเรียนรู้การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง 2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการจุดประสงค์ สาระการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล โดยมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นกระตุ้นความสนใจ 2) ขั้นทบทวนความรู้เดิม 3) ขั้นค้นคว้าและรวบรวมข้อมูล 4) ขั้นสร้างความรู้ใหม่ 5) ขั้นนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ และสะท้อนความคิดในทุกขั้นตอน การวัดและประเมินผลใช้การประเมินตามสภาพจริงที่กำหนดเกณฑ์การให้คะแนนแบบรูบริค ผลการตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบ พบว่า มีความเหมาะสมและมีความสอดคล้องอยู่ในระดับมากที่สุด และผลการทดลองนำร่อง พบว่า กระบวนการจัดการเรียนรู้ของรูปแบบเป็นขั้นตอน สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีความสามารถในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 2.29 และ4) ครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมากที่สุดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต1 และเขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) พรชนก ต่ายหัวดง; เอื้อมพร หลินเจริญ; จุมพต ขำสีระการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการ ของ ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต 1 และเขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต 1 และเขต 2 ปีการศึกษา 2549 จำนวน 190 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยายองค์ประกอบโดยสกัดองค์ประกอบหลักและแกนหมุนแบบออโธกอนอลด้วยวิธีวาริแมกช์ ผลการวิจัยพบว่าสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตรเขต 1 และเขต 2 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานกลุ่มวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่ามี 11 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบด้านการบริหารข้อมูลและสารสนเทศ การพัฒนาบุคลากร การบริหารงานวัดผลประเมินผลการเรียน การประเมินผลงานทางวิชาการ การวิจัยและพัฒนาองค์กร การนิเทศภายใน การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การบริหารการเรียนการสอน การบริหารกิจกรรมทางวิชาการ การพัฒนางานวิชาการและการบริหารทรัพยากรทางวิชาการตามลำดับ โดยที่ทั้ง 11 องค์ประกอบร่วมกันอธิบายควาแปรปรวนของสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการได้ร้อยละ 71.642รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการดำเนินงานบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ไพโรจน์ วัฒนวงศ์สุโข; สุรชัย ขวัญเมือง; เอื้อมพร หลินเจริญการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและปัญหาในการดำเนินงานบริหารงานวิชาการ ด้านหลักสูตรสถานศึกษา ด้านกระบวนการเรียนรู้ ด้านสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ด้านการจัดแหล่งเรียนรู้ และด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลทางการเรียน ของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต 2 และเพื่อเปรียบเทียบสภาพและปัญหา โดยจำแนกตามตำแหน่งและขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูวิชาการและครูผู้สอน ในปีการศึกษา 2548 จำนวน 405 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมารค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าเฉลี่ย(x) ต่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติกี่ทดสอบค่าเอฟ(F-test) ผลการวิจัยพบว่า สภาพการดำเนินงานบริหารวานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า สภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการสูงสุด ได้แก่ ด้านการจัดแหล่งเรียนรู้ รองลงมาได้แก่ ด้านกระบวนการเรียนรู้ และด้านที่มีสภาพการดำเนินการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการต่ำสุด ได้แก่ ด้านการวัดผล ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน ปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับน้อย และด้านที่มีปัญหาการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการงานวิชาการสูงสุด ได้แก่ ด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน รองลงมา ได้แก่ ด้านการจัดแหล่งการเรียนรู้ และด้านที่มีปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการต่ำสุด ได้แก่ ด้านหลักสูตรสถานศึกษา การเปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลตามความคิดเห็นของบุคลากรทางการศึกษา จำแนกตำแหน่ง และตามขนาดสถานศึกษา พบว่า ในภาพรวม ด้านหลักสูตรสถานศึกษา และด้านการวัดประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การเปรียบเทียบปัญหาการดำเนินงานบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลจำแนกตามตำแหน่ง พบว่าในภาพรวม ด้านกระบวนการเรียนรู้ และด้านการจัดแหล่งการเรียนรู้ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การเปรียบเทียบปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลตามความคิดเห็นของบุคลากรทางการศึกษา จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่า บุคลากรทางการศึกษาที่สังกัดสถานศึกษาขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ มีความคิดเห็นต่อปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) สุธรรม ลังการ์พินธุ์; สุรชัย ขวัญเมือง; เอื้อมพร หลินเจริญการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสภาพปัญหาการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต2 จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานบริหารทั่วไป ครูที่ปฏิบัติหน้าที่งานธุรการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 ปีการศึกษา 2549 จำนวน 337 คนซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าเฉลี่ย (x) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.)และสถิติการทดสอบค่าเอฟ( F –test ) ผลการวิจัยพบว่า 1. การศึกษาการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 พบว่า สภาพการดำเนินงานบริหารทั่วไป จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และปัญหาการดำเนินงานบริหารทั่วไปโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2. การเปรียบเทียบสภาพและปัญหาในการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 พบว่า สภาพและปัญหาการดำเนินงานบริหารทั่วไป จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาในภาพรวมไม่แตกต่างกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ชาวต่างประเทศ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) จั๋ย หยูนเหมย; เอื้อมพร หลินเจริญ; เกษม บุญโญการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ช่างต่างประเทศ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษษที่เรียนภาษากับอาจารย์ชาวต่างประเทศซึ่งเป็นนักศึกษาสาขาศิลปะศาสตร์ โปรแกรมวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ชั้นปีที่ 1 ปีที่ 2 ปีที่ 3 และปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ปีการศึกษา 2549 จำนวน 246 คน สุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม (Questionnaire) ที่เกี่ยวกับความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ชาวต่างประเทศที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง จำนวน 70 ข้อ มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List) และมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ได้แบบสอบถามที่สมบูรณ์จำนวน 223 ฉบับ สถิติที่ใช้ในการดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเฉลี่ยเลขคณิตและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามมีความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ชาวต่างประเทศในภาพรวมและแต่ละรายด้านอยู่ในระดับมาก