• ไทย
  • English
Log In
คลิกลงทะเบียนลืมรหัสผ่าน
โลโก้คลังสารสนเทศ
หน้าแรก
เกี่ยวกับคลังสารสนเทศดิจิทัล
  • เกี่ยวกับคลังสารสนเทศดิจิทัล
  • วิสัยทัศน์
  • พันธกิจ
  • นโยบายการพัฒนา
  • โครงสร้างองค์กรและบุคลากร
  • ผู้เชี่ยวชาญ
  • เป้าหมาย
  • การเข้าถึงและการใช้งาน
  • การนำไปใช้และการเผยแพร่
  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • การติดต่อ
การนำฝากและการนำเข้าข้อมูล
  • การนำฝากและการนำเข้าข้อมูล
  • การเปลี่ยนแปลงเนื้อหา
  • ข้อตกลงในการอนุญาตให้จัดทำและเผยแพร่
  • แนวทางปฏิบัติในการจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
  • แผนการบำรุงรักษาไฟล์ดิจิทัล
  • มาตรฐานรูปแบบไฟล์
  • เกี่ยวกับเมทาดาทา
  • แผนสืบทอดคลังสารสนเทศ
  • มาตรการและแนวทางดำเนินงานเมื่อมีการใช้ทรัพยากรผิดเงื่อนไข
  • แผนการสงวนรักษาทรัพยากรสารสนเทศดิจิทัล
  • กระบวนการทำงาน
  • คู่มือการสืบค้น
  • คู่มือการบันทึกผลงาน
  • ร้องเรียนและขอถอนทรัพยากรสารสนเทศ
การรับรองมาตรฐาน
  • แบบประเมินตนเอง
  • รายงานการประเมินตนเอง
การเยี่ยมชมบันทึกผลงาน
  1. หน้าแรก
  2. ค้นหาตามชื่อผู้แต่ง

เรียกดูข้อมูลตาม ชื่อผู้แต่ง "อนุ เจริญวงศ์ระยับ"

กรองผลลัพธ์โดยการพิมพ์ตัวอักษรสองสามตัวแรก
กำลังแสดง1 - 5 of 5
  • Results Per Page
  • ตัวเลือกการเรียงลำดับ
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การปฐมพยาบาลผู้ป่วยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรียนท่าทองพิทยาคม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) มรกต วงษ์มี; ปิยมนัส วรวิทย์รัตนกุล; อนุ เจริญวงศ์ระยับ
    การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) สร้างและหาคุณภาพของบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการปฐมพยาบาลผู้ป่วยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์เรื่อง การปฐมพยาบาลผู้ป่วยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนท่าทองพิทยาคม เพื่อให้ผลสัมฤทธิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3) ศึกษาหาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์เรื่องการปฐมพยาบาล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 30 คนได้จากการเลือกแบบสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์การปฐมพยาบาล 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิทางการเรียน 3) แบบวัดความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นมีคุณภาพตามการประเมินของผู้เชี่ยวชาญทั้งทางด้านเทคโนโลยีและเนื้อหาและแบบวัดผลสัมฤทธิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้านความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ในระดับมากที่สุดแสดงว่างานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้และเกิดประโยชน์ต่อไปได้
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    ปัจจัยเชิงสาเหตุของการมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในการเป็นประชากรอาเซียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) อนุ เจริญวงศ์ระยับ; วีรวรรณ วงศ์ปั่นเพ็ชร
    การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของการมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในการเป็นประชากรอาเซียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 2) เพื่อทดสอบความไม่แปรเปลี่ยนของปัจจัยเชิงสาเหตุของการมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในการเป็นประชากรอาเซียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ระหว่างกลุ่มนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน กับกลุ่มนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนที่ไม่เข้าร่วมโครงการ เก็บข้อมูลจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 436 คน โดยเก็บข้อมูลด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในการเป็นประชากรอาเซียน การได้รับข่าวสาร การใฝ่รู้ใฝ่เรียน และการมีภูมิคุ้มกันตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เส้นทางและการวิเคราะห์กลุ่มพหุ ผลการวิจัยพบว่า ทั้งการได้รับข่าวสาร การใฝ่รู้ใฝ่เรียน และการมีภูมิคุ้มกันตนเองส่งอิทธิพลทางตรงต่อคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในการเป็นประชากรอาเซียน และพบว่ารูปแบบของโมเดลไม่แปรเปลี่ยนระหว่างกลุ่มนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน กับกลุ่มนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนที่ไม่เข้าร่วมโครงการ แต่พบว่าเส้นทางอิทธิพลจากการใฝ่รู้ใฝ่เรียนถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในการเป็นประชากรอาเซียน และการได้รับข่าวสารถึงการมีภูมิคุ้มกันตนเองมีขนาดอิทธิพลที่แตกต่างกัน และค่าเฉลี่ยตัวแปรแฝงการมีภูมิคุ้มกันตนเองมีความแตกต่างกัน
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    ผลของโปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพที่มีต่อพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวันและภาวะโภชนาการสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2564) ไพลิน จารี; อนุ เจริญวงศ์ระยับ
    การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโภชนาการกับพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวันได้แก่ การบริโภคอาหารการมีกิจกรรมทางกาย และการจัดการอารมณ์และความเครียดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน 2) สร้างและพัฒนาโปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน 3) ศึกษาผลการใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน 3.1) เปรียบเทียบภาวะโภชนาการก่อน ระหว่างและหลังการใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน 3.2) เปรียบเทียบพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวันได้แก่ ในการบริโภคอาหาร การมีกิจกรรมทางกาย การจัดการอารมณ์และความเครียดสัปดาห์ที่ 1 - สัปดาห์ที่ 5 – สัปดาห์ที่ 10 ของการใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน กลุ่มตัวอย่างและเครื่องมือที่ใช้ 1) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตากเขต 1 ที่มีภาวะโภชนาการเกินเครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวัน ได้แก่ พฤติกรรมการบริโภคอาหารการมีกิจกรรมทางกาย การจัดการอารมณ์และความเครียด จำนวน 57 ข้อ ตรวจสอบคุณภาพด้วยวิธีหาค่าดัชนีความสอดคล้องและค่าความเชื่อมั่น 2) โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน ประเมินความเหมาะสมของโปรแกรม โดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน 3) กลุ่มตัวอย่างประชากรเป็ นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4-6 ที่มีภาวะโภชนาการเกินโรงเรียนเทศบาล 3 วัดชัยชนะสงคราม จำนวน 43 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน และแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะโภชนาการของนักเรียน มีความสัมพันธ์ทางลบระดับสูงกับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน 2) ผลการประเมินความเหมาะสมโปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน ในภาพรวมมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาก 3) ภาวะโภชนาการหลังใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน สัปดาห์ที่ 1-4 เมื่อเทียบกับก่อนใช้โปรแกรม ไม่แตกต่างกัน ส่วนสัปดาห์ที่ 5-10 เมื่อเทียบกับก่อนใช้โปรแกรม แตกต่างกัน และพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวัน ได้แก่ การบริโภคอาหารการมีกิจกรรมทางกาย การจัดการอารมณ์และความเครียด สัปดาห์ที่ 1 - สัปดาห์ที่ 5 – สัปดาห์ที่ 10 ของการใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน แตกต่างกัน
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    พัฒนาการอ่านคำและสะกดคำภาษาอังกฤษนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) อัญชลี วงษ์กัณหา; อนุ เจริญวงศ์ระยับ
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้และความต้องการในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบยูเลิร์นนิ่งรายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียน 2) สร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบยูเลิร์นนิ่งในรายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา 3) ทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบยูเลิร์นนิ่งในรายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา และ 4) ศึกษาความคิดเห็นในการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบยูเลิร์นนิ่งในรายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ขั้นตอนที่ 1 ได้แก่ ครูผู้สอนรายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) จำนวน 197 คน ขั้นตอนที่ 2 ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 9 ท่าน ขั้นตอนที่ 3 และ 4 ได้แก่ ครูผู้สอนรายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) โรงเรียนบ้านโพธิ์พัฒนาและโรงเรียนบ้านหนองแดน จำนวน 2 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 39 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ สถิติที่ใช้ในการแปลผล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการจัดการเรียนรู้รายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) พบว่า ด้านการเตรียมการสอน ด้านดำเนินการสอน ด้านการผลิตสื่อการสอน และด้านการวัดและประเมินผล โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และความต้องการในการจัดการเรียนรู้แบบยูเลิร์นนิ่งรายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบยูเลิร์นนิ่งรายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 หลักการของรูปแบบ องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ของรูปแบบ องค์ประกอบที่ 3 เนื้อหา องค์ประกอบที่ 4 กิจกรรมการเรียนรู้ 5 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 สร้างเครือข่ายสมาชิก (Create a Network of Members) ขั้นที่ 2 สร้างการเรียนรู้ (Create Learning) ขั้นที่ 3 สร้างผลงาน (Create Work)ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Exchange of Knowledge) ขั้นที่ 5 การประเมินผลงาน (Evaluation) และ องค์ประกอบที่ 5 การวัดและประเมินผล 3. หลังจากการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบยูเลิร์นนิ่งรายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และผลการประเมินชิ้นงานของนักเรียนมีระดับคุณภาพที่ดีขึ้น 4. ความคิดเห็นของครูในการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบยูเลิร์นนิ่งรายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา พบว่า ค่าเฉลี่ยโดยภาพรวมครูมีความคิดเห็น อยู่ในระดับมากที่สุด และความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบยูเลิร์นนิ่งรายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา พบว่าค่าเฉลี่ยโดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) ณกมล นกแก้ว; สุวารีย์ วงศ์วัฒนา; อนุ เจริญวงศ์ระยับ
    การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบทักษะชีวิตของนักเรียนด้อยโอกาสในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) สร้างและตรวจสอบรูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต สำหรับเด็กด้อยโอกาสในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 3) ทดลองใช้และหาประสิทธิภาพรูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต สำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ และ 4) ศึกษาความคิดเห็นต่อรูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษกระบวนการวิจัยประกอบด้วย 1) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างของทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเด็กยากจนมากเป็นพิเศษ ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ 4 ภูมิภาค ๆ ละ 3 โรงเรียน รวม 520 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบประเมินทักษะชีวิต สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือค่าความถี่ ร้อยละและการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน 2) ยกร่าง ตรวจสอบปรับปรุง และหาคุณภาพตามมาตรฐานของรูปแบบ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบประเมินคุณภาพตามมาตรฐานรูปแบบ 4 ด้าน สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3) ทดลองใช้รูปแบบ กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเด็กยากจนมากเป็นพิเศษ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 57 จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 40 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบประเมินทักษะชีวิตก่อนและหลังเรียน และแบบประเมินทักษะชีวิตระหว่างกิจกรรมการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละและสถิติวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ และ 4) ศึกษาความคิดเห็นต่อรูปแบบ จากนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเด็กยากจนมากเป็นพิเศษ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 57 จังหวัดเพชรบูรณ์ จ านวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามความคิดเห็นต่อการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามผลการวิจัยพบว่า 1. ทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) ทักษะการตระหนักรู้และเห็นคุณค่า ในตนเองและผู้อื่น 2) ทักษะการคิดวิเคราะห์ตัดสินใจและแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 3) ทักษะการจัดการกับอารมณ์และความเครียด และ 4) ทักษะการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น และมีตัวชี้วัดรวมทั้งสิ้น 27 ตัวชี้วัด และโมเดลทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ x² = 504.38, df. = 263, CFI = 0.963, TLI = 0.950, และRMSEA = 0.041 เมื่อพิจารณาผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับหนึ่งของโมเดลทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส จำนวน 27 ตัวชี้วัด พบว่ามีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมาตรฐานตั้งแต่ 0.534 - 0.761 มีค่าความเชื่อมั่นในการวัด (R2) อยู่ระหว่าง 0.285 – 0.579 ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสอง พบว่าองค์ประกอบทั้ง 4 มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมาตรฐานอยู่ในช่วง 0.816 – 0.939 2. รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาสในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ประกอบด้วย 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) เนื้อหาของรูปแบบ ประกอบด้วย 15 กิจกรรม 4) กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบ แบ่งเป็น 3 ขั้นการเรียนรู้ คือ ขั้นที่ 1 การเตรียมการเตรียมจิต ขั้นที่ 2 การเสริมสร้างกระบวนการคิด และ ขั้นที่ 3 การเชื่อมโยงในชีวิต และ 5) การวัดและประเมินผล มีคุณภาพตามมาตรฐานของรูปแบบในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3. รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาสในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ78.65/80.54 ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 75/75 ที่ตั้งไว้ และระดับทักษะชีวิตของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 4. นักเรียนมีความคิดเห็นต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญา ศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด

สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

156 ม.5 ต.พลายชุมพล อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000

โทรศัพท์: 0-5526-7224-5

เว็บไซต์: library.psru.ac.th

E-mail: lib_pibul@live.psru.ac.th

LiveChat

Pibulsongkram Logo

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)

Follow Us
Pibulsongkram Logo

                       

©2025 คลังสารสนเทศดิจิทัลพิบูลสงคราม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • ข้อตกลงสำหรับผู้ใช้
  • ข้อเสนอแนะ