เรียกดูข้อมูลตาม ชื่อผู้แต่ง "สวนีย์ เสริมสุข"
กำลังแสดง1 - 2 of 2
- Results Per Page
- ตัวเลือกการเรียงลำดับ
รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรมสำหรับนักศึกษาพยาบาล(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สุภาพร ปรารมย์; สุขแก้ว คำสอน; สวนีย์ เสริมสุขการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนและความต้องการในการพัฒนาตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรมสำหรับนักศึกษาพยาบาล 2) สร้างรูปแบบการจัดการเรียนการสอนฯ 3) ทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนฯ และ 4) ประเมินผลรูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญาเพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาลการวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามสภาพการจัดการเรียนการสอนและความต้องการการพัฒนารูปแบบ 2) แบบประเมินคุณภาพมาตรฐานรูปแบบการจัดการเรียนการสอน 3) แบบประเมินชิ้นงานนวัตกรรม 4) แบบสอบถามการรับรู้ทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม 5) แบบประเมินรูปแบบของอาจารย์ที่มีต่อการเรียนการสอน และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่างในระยะที่ 1 ของการวิจัย คือ อาจารย์พยาบาลที่สอนเกี่ยวกับนวัตกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎทั่วประเทศ จำนวน 80 คน กลุ่มตัวอย่างในระยะที่ 2 คือ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 ท่าน ระยะที่ 3 และ 4 กลุ่มตัวอย่าง คือ อาจารย์ผู้สอน จำนวน 4 คน นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฎกำแพงเพชร จำนวน 40 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา สถิติทดสอบที ผลการวิจัย พบว่า 1.สภาพการจัดการเรียนการสอนและความต้องการในการพัฒนาตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญาเพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล พบว่า การดำเนินงานเกี่ยวกับสภาพการจัดการเรียนการสอนในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล ด้านการประเมินผลทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรมในภาพรวม อยู่ในระดับน้อยที่สุด และระดับความต้องการในการพัฒนารูปแบบ อยู่ในระดับมากที่สุด 2. รูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 หลักการของรูปแบบ องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ของรูปแบบ องค์ประกอบที่ 3 ด้านเนื้อหา องค์ประกอบที่ 4 กิจกรรมการเรียนการสอน องค์ประกอบที่ 5 การวัดและประเมินผล ประเมินความถูกต้องของรูปแบบอยู่ในระดับมาก กิจกรรมการเรียนการสอน“TRIPAA Model” 6 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 ฝึกทักษะการคิด ( Thinking) ขั้นที่ 2 พิชิต ปัญหา ( Resolving) ขั้นที่ 3 พัฒนาความคิด ( Ideate Development)ขั้นที่ 4 ผลิตชิ้นงาน (Production) ขั้นที่ 5 ทำการประเมิน (Appriasal) ขั้นที่ 6 เพลิดเพลินเผยแพร่ (Advertisemenrt) คุณภาพตามมาตรฐานความเหมาะสมรูปแบบทุกด้านอยู่ในระดับมาก มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญาเพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล “TRIPAA model” มีระดับการรับรู้ทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม หลังใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ย สูงกว่า ก่อนใช้รูปแบบการเรียนการสอน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และการประเมินชิ้นงานนวัตกรรมทั้งหมด พบว่า มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก ถึงมากที่สุด 4. ผลการประเมินรูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญาเพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล พบว่า การประเมินรูปแบบการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก และความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดรายการ เมทาเดทาเท่านั้น ผลการใช้โปรแกรมส่งเสริมความสามารถในการอ่านและการเขียนของนักเรียนระดับประถมศึกษา โดยใช้เทคนิคการสอน STAD ร่วมกับเทคนิคการสอน TGT(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) นิวัฒ บัวติ๊บ; สวนีย์ เสริมสุขการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมทักษะการอ่านและการเขียนที่มีต่อทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2564 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมทักษะการอ่านและการเขียน จำนวน 37 คน และกลุ่มควบคุมเรียนตามปกติ ไม่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมทักษะการอ่านและการเขียน จำนวน 41 คน โดยรูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Design) มีการวัดผลจำนวน 3 ครั้ง คือวัดผลก่อนการทดลอง หลังการทดลองและระยะติดตามผลการทดลองโดยใช้เครื่องมือการทดลองคือแบบทดสอบการอ่านสะกดคำและการเขียนสะกดคำ ก่อนเรียน หลังเรียน และระยะติดตามผล ใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทางแบบวัดซ้ำ (Two-Way Repeated Measures ANOVA) ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า 1. ระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมทักษะการอ่านมีค่าเฉลี่ยคะแนนการอ่านในการสอบสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมทักษะการอ่านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มและระยะการทดลองคำนวณค่า F-test ได้ 2.199 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .113 ซึ่งมีค่ามากกว่า .05 แสดงว่าไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มและ ระยะการทดลอง 2. ระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมทักษะการเขียนมีค่าเฉลี่ยคะแนนการเขียนในการสอบสูงกว่าในระยะก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มและระยะการทดลองคำนวณค่า F-test ได้ 14.105 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .000 ซึ่งมีค่าน้อยกว่า .05 แสดงว่ามีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มและระยะการทดลอง