• ไทย
  • English
Log In
คลิกลงทะเบียนลืมรหัสผ่าน
โลโก้คลังสารสนเทศ
หน้าแรก
เกี่ยวกับคลังสารสนเทศดิจิทัล
  • เกี่ยวกับคลังสารสนเทศดิจิทัล
  • วิสัยทัศน์
  • พันธกิจ
  • นโยบายการพัฒนา
  • โครงสร้างองค์กรและบุคลากร
  • ผู้เชี่ยวชาญ
  • เป้าหมาย
  • การเข้าถึงและการใช้งาน
  • การนำไปใช้และการเผยแพร่
  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • การติดต่อ
การนำฝากและการนำเข้าข้อมูล
  • การนำฝากและการนำเข้าข้อมูล
  • การเปลี่ยนแปลงเนื้อหา
  • ข้อตกลงในการอนุญาตให้จัดทำและเผยแพร่
  • แนวทางปฏิบัติในการจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
  • แผนการบำรุงรักษาไฟล์ดิจิทัล
  • มาตรฐานรูปแบบไฟล์
  • เกี่ยวกับเมทาดาทา
  • แผนสืบทอดคลังสารสนเทศ
  • มาตรการและแนวทางดำเนินงานเมื่อมีการใช้ทรัพยากรผิดเงื่อนไข
  • แผนการสงวนรักษาทรัพยากรสารสนเทศดิจิทัล
  • กระบวนการทำงาน
  • คู่มือการสืบค้น
  • คู่มือการบันทึกผลงาน
  • ร้องเรียนและขอถอนทรัพยากรสารสนเทศ
การรับรองมาตรฐาน
  • แบบประเมินตนเอง
  • รายงานการประเมินตนเอง
การเยี่ยมชมบันทึกผลงาน
  1. หน้าแรก
  2. ค้นหาตามชื่อผู้แต่ง/ผู้สร้างสรรค์ผลงาน

เรียกดูข้อมูลตาม ชื่อผู้แต่ง/ผู้สร้างสรรค์ผลงาน "สลักจิต ตรีรณโอภาส"

กรองผลลัพธ์โดยการพิมพ์ตัวอักษรสองสามตัวแรก
กำลังแสดง1 - 2 of 2
  • Results Per Page
  • ตัวเลือกการเรียงลำดับ
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา สำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) สลักจิต ตรีรณโอภาส; ศิริวิมล ใจงาม; เดือนใจ เกียวซี
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาสำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม โดยมีการศึกษาสภาพการดำเนินงานการจัดการเรียนร่วม สร้างและศึกษาผลการใช้รูปแบบ ทั้งนี้ได้กำหนดแบบแผนการวิจัยเป็นการทดลองหนึ่งกลุ่มเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้รูปแบบ กลุ่มเป้าหมายในการศึกษาคือผู้บริหารและครูโรงเรียนบ้านป่าลัก (ทศพลอนุสรณ์) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 จำนวน 22 คน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. การสร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาสำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม พบว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาที่สร้างมีลักษณะสำคัญ 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นสร้างความตระหนักรู้ ขั้นน้อมใจสู่การพัฒนา ขั้นมุ่งหน้าลงมือปฏิบัติ และขั้นเกิดผลเชิงจิตตปัญญา หลังการใช้รูปแบบ ครูมีความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.41 และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากทุกรายการ โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านความเหมาะสม ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.47 ด้านความเป็นไปได้ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.40 ด้านการใช้ประโยชน์ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.39 และด้านความแม่นยำค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.38 2. การศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า 1) ผลการสะท้อนคิดของครูจากการอบรมเพื่อพัฒนาตามขั้นตอนของรูปแบบ ครูชอบการทำสมาธิเพราะทำให้รู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ความสงบและเรียนทำให้มีเวลาในการทบทวนตัวเอง การสื่อสารวงสนทนาทำให้ได้ฟังและรู้จักเพื่อนมากขึ้น ประทับใจวิทยากรทุกท่านเพราะมีความเป็นกันเอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ครูรักและผูกพันกันมากขึ้น กิจกรรมทุกโมดูลทำให้เกิดความเชื่อมั่นในอาชีพครูเพิ่มขึ้น และเห็นความสำคัญของรูปแบบที่จะนำไปใช้ในการเรียนการสอน 2) การนิเทศติดตามระหว่างการใช้รูปแบบพบว่า หลักการสอนตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาที่ครูนำมาใช้มากที่สุดคือหลักความรักความเมตตา รองลงมาคือหลักการพิจารณาอย่างใคร่คราญ ส่วนกิจกรรมการเรียนรู้ที่นำมาใช้มากที่สุดคือการสร้างความสงบนิ่งด้วยสมาธิ รองลงมาคือสุนทรียสนทนา 3) การสะท้อนคิดของผู้บริหารและครูหลังใช้รูปแบบพบว่า ครูมีความรู้ความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาเพิ่มขึ้น พึงพอใจในรูปแบบเพราะช่วยให้เข้าใจตนเองและเพื่อนร่วมงานมากขึ้น สร้างความรักและสามัคคีในทีม โดยระบุว่าในเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีกิจกรรมที่ทำให้เกิดความรักและความเข้าใจเช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอแนะให้มีการนิเทศติดตามอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมประสิทธิผล 4) การเปรียบเทียบศักยภาพของครูในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาพบว่า ครูมีศักยภาพหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05)
  • Thumbnail Image
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การพัฒนารูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) จินตนา ประดุจพงษ์เพ็ชร์; สลักจิต ตรีรณโอภาส
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก ได้ดำเนินการ 4 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาสภาพปัญหาพฤติกรรม ความต้องการของผู้ปกครอง และรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเด็กออทิสติก กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ปกครองเด็กออทิสติก 2) พัฒนารูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 ท่าน 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบฯ ที่มีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ปกครองเด็กออทิสติกจำนวน 6 คน เครื่องมือเป็นแบบทดสอบความรู้ด้านการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเพื่อจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก และแบบบันทึกการสะท้อนคิด เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลังการใช้รูปแบบการอบรม และ 4) ประเมินรูปแบบฯ การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกส่วนใหญ่เป็นการกระทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองมากที่สุด รองลงมา คือ การกระทำให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่น และการกระทำให้เกิด ความเสียหายต่อสิ่งของตามลำดับและผู้ปกครองมีความต้องการให้ติดตามและรายงานผลการจัดการปัญหาพฤติกรรมเด็กออทิสติกร่วมกันอย่างต่อเนื่องของนักสหวิชาชีพมากที่สุด รองลงมา คือ การได้รับการชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญในการจัดการปัญหาพฤติกรรมในสถานการณ์จริง และการพัฒนาความรู้และทักษะในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกเป็นลำดับสุดท้ายและพบว่า รูปแบบการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเด็กออทิสติกในเขตภาคเหนือตอนล่างเป็นแบบตามใจมากที่สุดรองลงมา คือ แบบเอาใจใส่ และแบบควบคุมตามลำดับ 2. รูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ หลักการ วัตถุประสงค์ของการอบรม เนื้อหาการอบรม กิจกรรมการอบรม สื่อการอบรม การวัดและประเมินผล โดยมีกิจกรรมการอบรมตามกระบวนการจิตตปัญญา 4 ขั้นตอน คือ สงบนิ่ง (Calm) สนใจใคร่ครวญ (Contemplation) สร้างความคิด (Creativity) และสัญญาจะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ (Commitment) (ส.ส.ส.ส.) รวมทั้งมีผลการประเมินคุณภาพก่อนนำรูปแบบฯ ไปใช้ที่มีภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านความเหมาะสมได้ค่าต่ำที่สุด 3. ผลการใช้รูปแบบการอบรมสามารถพัฒนาความรู้ ทักษะ และเจตคติด้านการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเพื่อจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกเพิ่มขึ้น และสามารถลดสภาพปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกหลังการใช้รูปแบบการอบรม 4. ผลการประเมินรูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก ด้านประสิทธิผล ด้านประสิทธิภาพ และด้านผลกระทบ พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดในทุกด้าน

สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

156 ม.5 ต.พลายชุมพล อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000

โทรศัพท์: 0-5526-7224-5

เว็บไซต์: library.psru.ac.th

E-mail: lib_pibul@live.psru.ac.th

LiveChat

Pibulsongkram Logo

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)

Follow Us
Pibulsongkram Logo

                       

©2025 คลังสารสนเทศดิจิทัลพิบูลสงคราม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • ข้อตกลงสำหรับผู้ใช้
  • ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับทรัพยากร