เรียกดูข้อมูลตาม ชื่อผู้แต่ง "พิชญา เหลืองรัตนเจริญ"
กำลังแสดง1 - 4 of 4
- Results Per Page
- ตัวเลือกการเรียงลำดับ
รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การกระทำความผิดของเด็ก : ศึกษากรณีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 74(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ประภาพร สมพร; พิชญา เหลืองรัตนเจริญเหตุการณ์ในปัจจุบันที่มีการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนที่มีความรุนแรงเทียบเท่ากับการกระทำความผิดของผู้ใหญ่หรือเป็นการกระทำความผิดซ้ำซากของอาชญากรวัยเด็กที่ร้ายแรงต่อสังคมและเป็นภัยสังคมในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ดังนั้นกฎหมายประเทศไทยในปัจจุบันจึงไม่สอดคล้องกับการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนเพราะไม่มีการพัฒนาในมาตรการการกระทำความผิดของเด็กที่รุนแรงขึ้น และมาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวมุ่งเน้นคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนที่เป็นกฎหมายเฉพาะในการใช้มาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนนี้เหมาะสำหรับการกระทำความผิดที่เล็กน้อยเพราะกฎหมายมุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนกลับตัวใหม่เป็นคนดีคืนสู่สังคม ดังนั้นการที่เด็กและเยาวชนที่เป็นอาชญากรที่กระทำความผิดร้ายแรงหรือกระทำความผิดที่เสมือนการกระทำความผิดแบบผู้ใหญ่ที่ย่อมเล็งเห็นผลว่าการกระทำที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงแบบอาชญากรและเป็นภัยสังคมอย่างมากดังเหตุการข่าวในปัจจุบันที่เด็กอายุ 14 กราดยิงกลางห้างสรรพสินค้าพารากอน และคดีเด็กและเยาวชนอายุเพียง 13-16 ปีวางแผนข่มขืนและฆ่าตกรรมป้ากบหรือป้าบัวผัน เหตุการณืเช่นนี้กลับเป็นการกระทำความผิดของเด็กทั้งสิ้นควรลงโทษหรือมีมาตรการสำหรับการกระทำที่ร้ายแรงเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ดี การลงโทษที่ใช้มาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนในปัจจุบันมันล่าสมัยเกินกว่าจะนำมาปรับใช้ในการปัจจุบัน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศในกระบวนการดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนในระบบกฎหมาย Common law Civil law และคอมมิวนิสต์ ที่มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจุบันหมดแล้ว และนี้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนแก้ไขของไทยที่ผู้เขียนเห็นว่าควรมีมาตรการสำหรับการลงโทษอาชญากรที่กระทำความผิดซ้ำซากและร้ายแรงส่งผลให้เป็นภัยสังคมอย่างยิ่งโดยเปรียบเทียบในหลักเกณฑ์อายุ โทษที่จะได้รับ และฐานความผิดที่สมควรลงโทษเพื่อประโยชน์ของประเทศที่กระบวนการดำเนินคดีอาญาที่เป็นไปในทางพัฒนาและสามารถลงโทษตามความเหมาะสมอย่างแท้จริง เพื่อเหยื่อหรือผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนนั้นที่เหมาะสมและถูกต้องอย่างเป็นธรรมรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การคุ้มครองสิทธิของผู้พ้นโทษ : ศึกษากรณีการมีงานทำในหน่วยงานภาครัฐ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) พีรดนย์ ปราบต์พีรดนย์; พิชญา เหลืองรัตนเจริญการวิจัยเรื่องการคุ้มครองสิทธิของผู้พ้นโทษ : ศึกษากรณีการมีงานทำในหน่วยงาน ภาครัฐ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาถึงความเป็นมา แนวคิด ทฤษฎี หลักกฎหมายการคุ้มครองและสงเคราะห์ผู้พ้นโทษ และข้อบังคับในการช่วยเหลือผู้พ้นโทษภายหลังการปล่อยตัวออกจากเรือนจำให้มีงานทำและมีสิทธิในการสมัครรับราชการ และเพื่อศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบ หลักกฎหมาย หลักเกณฑ์การคุ้มครองและสงเคราะห์ผู้พ้นโทษ ในการช่วยเหลือผู้พ้นโทษภายหลังการปล่อยตัวออก จากเรือนจำให้มีงานทำและมีสิทธิในการสมัครรับราชการของประเทศไทยกับหลักกฎหมายหลักเกณฑ์ ของต่างประเทศ ผู้วิจัยกำหนดวิธีการดำเนินการศึกษาการวิจัยในครั้งนี้ คือ จำนวนผู้พ้นโทษในแต่ละปีมีเป็นจำนวนมาก ผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวเมื่อจำคุกตามคำ พิพากษาครบกำหนดจากเรือนจำเฉลี่ยแล้วปีละประมาณ แสนกว่าคน (หรือเดือนละประมาณ 10,000 คน) และบางปียังมีการปล่อยตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษเนื่องในโอกาสมหามงคลพิเศษตามวาระต่าง ๆ ก็จะมีผู้พ้นโทษออกมากกว่าในปีปกติ อีกทั้งยังมีผู้พ้นโทษที่พ้นจากระบบการคุมความประพฤติซึ่งมีทั้งผู้ ได้รับพักการลงโทษและลดวันต้องโทษ รวมถึงเด็กและเยาวชนที่ออกมาจากสถานพินิจและคุ้มครอง เด็กและเยาวชน แต่ที่สำคัญมักจะปรากฏข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าผู้พ้นโทษบางส่วน ได้กลับไปกระทำผิดซ้ำเมื่อถูกปล่อยตัวไปไม่นาน สาเหตุหนึ่งเกิดจากผู้พ้นโทษเหล่านี้ ไม่สามารถประกอบอาชีพ สุจริตได้ เพราะถูกปฏิเสธการจ้างงานทั้งในภาครัฐและเอกชนเนื่องด้วยเคยติดคุกและมีประวัติอาชกรรม จึงทำให้เกิดการกระทำความผิดซ้ำในกลุ่มผู้พ้นโทษรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การเยียวยาความเสียหายแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐจากการลงโทษทางวินัยร้ายแรงโดยคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย: ศึกษากรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) อัจฉราวดี แก้วพันธ์; พิชญา เหลืองรัตนเจริญวิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการที่ใช้ในการเยียวยาความเสียหายที่เกิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเนื่องมาจากการลงโทษทางวินัยร้ายแรงและไม่ชอบด้วยกฎหมายที่กำหนดโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมุ่งวิเคราะห์การกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การชดเชยเยียวยาแก่เจ้าหน้าที่ที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงโดยมิชอบด้วยกฎหมายอย่างมีประสิทธิผล การระบุหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือกระบวนการดังกล่าวพยายามที่จะส่งเสริมความเป็นธรรมและความเสมอภาคในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษ ขณะเดียวกันก็ให้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งท้ายที่สุดจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวม วิธีการศึกษาประกอบด้วยสองส่วนที่แตกต่างกัน ส่วนแรกเป็นการศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับอำนาจและความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งคำสั่งทางปกครอง การเพิกถอนคำสั่ง การดำเนินการทางวินัยแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ความรับผิดของรัฐ และแนวทางการชดเชยเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่วนต่อมาเป็นศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบหลักเกณฑ์และวิธีการที่ใช้ในการแก้ไขความเสียหายอันเป็นผลจากการลงโทษทางวินัยที่ไม่เป็นธรรม ทั้งภายใต้กฎหมายไทยและกรอบกฎหมายต่างประเทศ โดยการดำเนินการศึกษานี้ในต่างประเทศ เรามุ่งหวังที่จะได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และบทบัญญัติทางกฎหมายที่ครอบคลุมการเยียวยาความเสียหายในกรณีดังกล่าว ผลการศึกษาพบว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงจากคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะต้องได้รับความสูญเสียทั้งทางการเงินและไม่ใช่ทางการเงิน รวมถึงสูญเสียผลประโยชน์ด้วย สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่ารัฐจะชดเชยเยียวยาความเสียหายดังกล่าวอย่างไร ปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังขาดกฎหมายหรือกฎเกณฑ์เฉพาะที่กำหนดวิธีการและรายละเอียดการชดเชยเยียวยาให้กับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ การขาดความชัดเจนนี้เป็นอุปสรรคต่อความสามารถของรัฐในการรับรองความเป็นธรรม สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงโดยมิชอบกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ สำนักงาน ก.พ. ได้ออกระเบียบที่กำหนดกระบวนการเยียวยาชดเชยสำหรับผู้อุทธรณ์และผู้ร้องเรียนไว้อย่างชัดเจน ซึ่งรวมถึงบทบัญญัติบังคับเพื่อชดเชยเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัย หลักเกณฑ์และวิธีการที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูเยียวยาผู้ถูกลงโทษให้กลับสู่ตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่าในหน่วยงานของรัฐ ดังนั้น เพื่อให้การชดเชยเยียวยาที่เหมาะสมแก่ข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่นที่ถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง จึงจำเป็นต้องจัดทำกรอบที่ครอบคลุมแนวปฏิบัติจากต่างประเทศและระเบียบ ก.พ.ค.ว่าด้วยการเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้อุทธรณ์และผู้ร้องทุกข์ หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม พ.ศ. 2565 โดยยึดหลักความยุติธรรม ทำให้เราสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และการเยียวยากรณีต่าง ๆ แก่ผู้อุทธรณ์และผู้ร้องเรียนได้ การพิจารณาสิทธิของเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกลงโทษทางวินัย และกำหนดกฎเกณฑ์หรือกฎหมายที่สนับสนุนสิทธิในการได้รับการเยียวยาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นเราจึงเสนอให้มีการออกกฎระเบียบภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะสรุปหลักเกณฑ์และวิธีการเฉพาะในการแก้ไขเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง กรอบนี้ควรให้ความชัดเจนและแน่นอนเกี่ยวกับผลประโยชน์และค่าชดเชยที่ควรจัดสรร และ การเยียวยาในด้านต่าง ๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัย จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาและเยียวยาความเสียหายของข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่นที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพรายการ เมทาเดทาเท่านั้น ความรับผิดจากการใช้ดุลพินิจในการออกคำสั่งลงโทษทางวินัยเจ้าหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย : ศึกษากรณีมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) พิธาน แสงสุริยัน; พิชญา เหลืองรัตนเจริญ; กานดิศ ศิริสานต์วิทยานิพนธ์นี้ศึกษาความรับผิดทางกฎหมายของผู้บังคับใช้กฎหมายในบริบทขององค์กรในมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย โดยเน้นความสำคัญของอำนาจดุลพินิจ เนื่องจากกฎหมายภายในไม่สามารถบัญญัติให้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ การให้อำนาจดุลพินิจแก่เจ้าหน้าที่รัฐจึงจำเป็น เพื่อปรับใช้กฎหมายอย่างยืดหยุ่นและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงเฉพาะราย โดยเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้อำนาจโดยปราศจากการแทรกแซง เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายและสร้างความยุติธรรมเฉพาะกรณี การใช้ดุลพินิจที่บิดเบือนอำนาจต่างจากการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบทั่วไป คือ การใช้ดุลพินิจทำนิติกรรมทางปกครองโดยไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อบรรลุประโยชน์ส่วนตัวหรือประโยชน์มหาชนอื่นที่กฎหมายไม่ได้กำหนด หากมีเจตนาทุจริตหรือมุ่งร้าย การใช้อำนาจดังกล่าวถือว่าร้ายแรงและอาจมีความรับผิดทางอาญา ตามหลักการของอังกฤษและฝรั่งเศส อย่างไรก็ดี การกำหนดความรับผิดทางอาญาจากการใช้อำนาจดุลพินิจโดยมิชอบเป็นเรื่องยุ่งยาก เนื่องจากต้องค้นหาเจตนาของผู้กระทำและมูลเหตุจูงใจที่แท้จริง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายในของความผิดทางอาญา ต้องอาศัยพยานหลักฐานหลายอย่าง นอกจากนี้ ปัจจัยด้านกฎหมายอาญาสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติ รวมถึงการตีความของศาล ก็มีส่วนสำคัญในการดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่รัฐผู้ใช้อำนาจดุลพินิจ