• ไทย
  • English
Log In
คลิกลงทะเบียนลืมรหัสผ่าน
โลโก้คลังสารสนเทศ
หน้าแรก
เกี่ยวกับคลังสารสนเทศดิจิทัล
  • เกี่ยวกับคลังสารสนเทศดิจิทัล
  • วิสัยทัศน์
  • พันธกิจ
  • นโยบายการพัฒนา
  • โครงสร้างองค์กรและบุคลากร
  • ผู้เชี่ยวชาญ
  • เป้าหมาย
  • การเข้าถึงและการใช้งาน
  • การนำไปใช้และการเผยแพร่
  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • การติดต่อ
การนำฝากและการนำเข้าข้อมูล
  • การนำฝากและการนำเข้าข้อมูล
  • การเปลี่ยนแปลงเนื้อหา
  • ข้อตกลงในการอนุญาตให้จัดทำและเผยแพร่
  • แนวทางปฏิบัติในการจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
  • แผนการบำรุงรักษาไฟล์ดิจิทัล
  • มาตรฐานรูปแบบไฟล์
  • เกี่ยวกับเมทาดาทา
  • แผนสืบทอดคลังสารสนเทศ
  • มาตรการและแนวทางดำเนินงานเมื่อมีการใช้ทรัพยากรผิดเงื่อนไข
  • แผนการสงวนรักษาทรัพยากรสารสนเทศดิจิทัล
  • กระบวนการทำงาน
  • คู่มือการสืบค้น
  • คู่มือการบันทึกผลงาน
  • ร้องเรียนและขอถอนทรัพยากรสารสนเทศ
การรับรองมาตรฐาน
  • แบบประเมินตนเอง
  • รายงานการประเมินตนเอง
การเยี่ยมชมบันทึกผลงาน
  1. หน้าแรก
  2. ค้นหาตามชื่อผู้แต่ง/ผู้สร้างสรรค์ผลงาน

เรียกดูข้อมูลตาม ชื่อผู้แต่ง/ผู้สร้างสรรค์ผลงาน "ปัณณวิชญ์ ใบกุหลาบ"

กรองผลลัพธ์โดยการพิมพ์ตัวอักษรสองสามตัวแรก
กำลังแสดง1 - 3 of 3
  • Results Per Page
  • ตัวเลือกการเรียงลำดับ
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การพัฒนากลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) ชุติพร เหล็กคำ; ปัณณวิชญ์ ใบกุหลาบ; สุขแก้ว คำสอน
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและตรวจสอบโมเดลการวัดคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) พัฒนากลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษดำเนินการวิจัยเป็น 2 ระยะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยระยะที่ 1 ได้แก่ นักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษที่บกพร่องทางด้านสติปัญญา มีระดับสติปัญญา 50 - 70 อายุระหว่าง 5 - 6 ปี ที่กำลังศึกษาในศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จำนวน 360 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบประเมินระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปใช้ค่าความถี่ ร้อยละ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ระยะที่ 2 การพัฒนาแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ และประเมินกลยุทธ์ แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน และสภาพแวดล้อมภายใน/ภายนอกศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษกลุ่มตัวอย่างได้แก่ผู้เชี่ยวชาญในระดับผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาพิเศษ และหัวหน้างานวิชาการ จำนวน 8 คนเครื่องมือได้แก่แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ขั้นตอนที่ 2 กำหนดกลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์การบริหารงานการพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) จำนวน 9 คน เครื่องมือได้แก่ 1) แบบวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก จำแนกเป็นรายด้าน แยกเป็นปัจจัยด้านโอกาส หรือ อุปสรรค ของศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) แบบวิเคราะห์สภาพแวดล้อมสภาพแวดล้อมภายใน จำแนกเป็นรายด้าน แยกเป็นปัจจัยด้านจุดแข็งหรือจุดอ่อน ของศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นประเด็นของปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในของศูนย์การศึกษาพิเศษ ที่ส่งผลต่อการการยกระดับคุณภาพ เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ค่าสถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และขั้นตอนที่ 3 ประเมินคุณภาพกลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษารองผู้อำนวยการสถานศึกษา หัวหน้างานวิชาการ และครูผู้สอน รวมทั้งสิ้น จำนวน 360 คน เครื่องมือได้แก่แบบประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของแผนกลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ค่าสถิติ ได้แก่ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษใน ศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มี 4 องค์ประกอบ 14 ตัวชี้วัด และผลการวิเคราะห์ความกลมกลืนของโมเดลองค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับแรกขององค์ประกอบคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ พบว่า มีค่า 2 = 76.68, p = 0.12, df = 63, 2/df = 1.22, CFI = 1.00, GFI = 0.97, AGFI= 0.94, RMSEA = 0.026, SRMR= 0.034 แสดงว่าโมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 2. การพัฒนาแผนกลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ประกอบด้วย 6 ประเด็นกลยุทธ์ได้แก่ ประเด็นกลยุทธ์ที่ 1 ส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิและโอกาสทางการศึกษา ประเด็นกลยุทธ์ที่ 2 พัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษให้มีประสิทธิภาพ ประเด็นกลยุทธ์ที่ 3 พัฒนาบุคลากรด้านการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษมืออาชีพประเด็นกลยุทธ์ที่ 4 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ สื่อความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาและแหล่งเรียนรู้ ประเด็นกลยุทธ์ที่ 5 ส่งเสริมการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษให้ให้มีพัฒนาการเต็มตามศักยภาพของตน และประเด็นกลยุทธ์ที่ 6 สร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษที่มีประสิทธิภาพ และ ผลการประเมินกลยุทธ์ พบว่าในภาพรวมความเป็นไปได้ของวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ ประเด็นกลยุทธ์ของแผนกลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ อยู่ในระดับมากที่สุด
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กำแพงเพชร เขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2556) ยุวธิดา บุบผาวรรณ; ปัณณวิชญ์ ใบกุหลาบ; กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์
    การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 และเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์กับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 751 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ตัวแปรที่ศึกษาประกอบด้วยตัวแปรแฝง 6 ตัว ได้แก่ 1)บรรยากาศในห้องเรียนคณิตศาสตร์ 2) พฤติกรรมการสอนคณิตศาสตร์ 3)การสนับสนุนการเรียนคณิตศาสตร์ของผู้ปกครอง 4)เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ 5)การเข้าร่วมกิจกรรมคณิตศาสตร์ของนักเรียนและ 6)ความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ และแบบสอบถามปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรม SPSS ในการหาค่าสถิติพื้นฐานและใช้โปรแกรม LISREL 8.54 ในการตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างของโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุ ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 มีค่าเฉลี่ยในการรวมอยู่ในระดับปานกลาง และพบว่า ตัวแปรสังเกตได้ด้านความคิดคล่องแคล่วทางคณิตศาสตร์ ด้านความคิดยืดหยุ่นทางคณิตศาสตร์ และด้านความคิดริเริ่มทางคณิตศาสตร์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง 2)โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ได้ค่าสถิติไค-สแควร์(χ²)= 98.72 (p=0.23) df= 89, GFI=.99, AGFI=.97, RMR=.03 โมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวนของความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ได้ร้อยละ 66 โดยตัวแปรที่มีอิทธิพลทางตรงต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้แก่ เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ และการเข้าร่วมกิจกรรมทางคณิตศาสตร์ ตัวแปรที่มีอิทธิพลทางอ้อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ บรรยากาศในห้องเรียนคณิตศาสตร์ มีอิทธิพลอ้อมผ่านเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ ตัวแปรที่มีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ พฤติกรรมการสอนคณิตศาสตร์ของครูและการสนับสนุนการเรียนคณิตศาสตร์ของผู้ปกครอง
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    รูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครู : ศึกษากรณีนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ภาวิณี เดชเทศ; พัชราวลัย มีทรัพย์; ปัณณวิชญ์ ใบกุหลาบ
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะ การใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น 2) เพื่อทดลองใช้รูปแบบ การเสริมสร้างสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การสร้างและพัฒนารูปแบบและระยะที่ 2 การทดลองใช้ รูปแบบ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาครูคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา และการทดสอบค่าที (t-test dependent) ผลการวิจัย พบว่า 1. รูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น ประกอบไปด้วย 5 ส่วน ได้แก่ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) เนื้อหาของรูปแบบ 4) กระบวนการเรียนรู้ และ 5) การวัดและประเมินผล ผลการประเมินคุณภาพ ของรูปแบบอยู่ในระดับมาก ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านอรรถประโยชน์ 2) ด้านความเป็นไปได้ 3) ด้านความเหมาะสม และ 4) ด้านความถูกต้อง ในภาพรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( x̄ = 4.31 , S.D = .193) 2. ผลการทดลองใช้รูปแบบ ตามองค์ประกอบของสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอน ในด้านความรู้ มีค่าเฉลี่ยหลังการอบรมอยู่ที่ =14.05 มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิต ที่ 0.05 ในด้านทักษะ ในขั้นการทดลองสอน ในภาพรวมในทุก ๆ องค์ประกอบ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 2.10 และการประเมินในขั้นตอนการสร้างและพัฒนาเครื่องมือ ในภาพรวมในทุก ๆ องค์ประกอบ มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ = 1.83 การประเมินสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอน ในขั้นตอนการนิเทศติดตาม จำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 การนิเทศการสอนโดยประเมินจากคลิปวิดีโอการสอน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 2.04 ครั้งที่ 2 เป็นการนิเทศการสอนที่สถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 2.33 ในด้านคุณลักษณะ การวัดระดับการรับรู้ความสามารถของตนในการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนของนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง ก่อนการอบรมและหลังการอบรม มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสูงขึ้นกว่าก่อนการอบรม ในทุกองค์ประกอบและการศึกษาผลการทบทวนหลังการปฏิบัติการ (AAR) ในทุกขั้นตอนของการใช รูปแบบทั้งหมด 4 ครั้ง

สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

156 ม.5 ต.พลายชุมพล อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000

โทรศัพท์: 0-5526-7224-5

เว็บไซต์: library.psru.ac.th

E-mail: lib_pibul@live.psru.ac.th

LiveChat

Pibulsongkram Logo

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)

Follow Us
Pibulsongkram Logo

                       

©2025 คลังสารสนเทศดิจิทัลพิบูลสงคราม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • ข้อตกลงสำหรับผู้ใช้
  • ข้อเสนอแนะ