• ไทย
  • English
Log In
คลิกลงทะเบียนลืมรหัสผ่าน
โลโก้คลังสารสนเทศ
หน้าแรก
เกี่ยวกับคลังสารสนเทศดิจิทัล
  • เกี่ยวกับคลังสารสนเทศดิจิทัล
  • วิสัยทัศน์
  • พันธกิจ
  • นโยบายการพัฒนา
  • โครงสร้างองค์กรและบุคลากร
  • ผู้เชี่ยวชาญ
  • เป้าหมาย
  • การเข้าถึงและการใช้งาน
  • การนำไปใช้และการเผยแพร่
  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • การติดต่อ
การนำฝากและการนำเข้าข้อมูล
  • การนำฝากและการนำเข้าข้อมูล
  • การเปลี่ยนแปลงเนื้อหา
  • ข้อตกลงในการอนุญาตให้จัดทำและเผยแพร่
  • แนวทางปฏิบัติในการจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
  • แผนการบำรุงรักษาไฟล์ดิจิทัล
  • มาตรฐานรูปแบบไฟล์
  • เกี่ยวกับเมทาดาทา
  • แผนสืบทอดคลังสารสนเทศ
  • มาตรการและแนวทางดำเนินงานเมื่อมีการใช้ทรัพยากรผิดเงื่อนไข
  • แผนการสงวนรักษาทรัพยากรสารสนเทศดิจิทัล
  • กระบวนการทำงาน
  • คู่มือการสืบค้น
  • คู่มือการบันทึกผลงาน
  • ร้องเรียนและขอถอนทรัพยากรสารสนเทศ
การรับรองมาตรฐาน
  • แบบประเมินตนเอง
  • รายงานการประเมินตนเอง
การเยี่ยมชมบันทึกผลงาน
  1. หน้าแรก
  2. ค้นหาตามชื่อผู้แต่ง/ผู้สร้างสรรค์ผลงาน

เรียกดูข้อมูลตาม ชื่อผู้แต่ง/ผู้สร้างสรรค์ผลงาน "นิคม นาคอ้าย"

กรองผลลัพธ์โดยการพิมพ์ตัวอักษรสองสามตัวแรก
กำลังแสดง1 - 15 of 15
  • Results Per Page
  • ตัวเลือกการเรียงลำดับ
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) มงคล มากจีน; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 2) เพื่อศึกษาแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 จำนวนทั้งหมด 124 โรงเรียน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบบ 1 คำตอบ และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความเชื่อมั่น ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านที่อยู่ในระดับมากที่สุดคือ ด้านเน้นการประนีประนอม ซึ่งมีค่าเฉลี่ยสูงสุด และด้านเน้นการร่วมมือ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย รองลงมา ด้านที่อยู่ในระดับมาก คือด้านเน้นการยอมให้ ด้านที่อยู่ในระดับปานกลาง คือ ด้านเน้นการหลีกเลี่ยง ด้านที่อยู่ในระดับน้อย คือ ด้านเน้นการเอาชนะ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด 2) แนวทางที่เหมาะสมในการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 (1) ด้านเน้นการเอาชนะ ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องดำเนินการทุกอย่างตามระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง (2) ด้านเน้นการร่วมมือ ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเปิดโอกาสให้บุคลากรทุกคน ได้ซักถามข้อข้องใจเพื่อให้บุคลากรมีความเข้าใจตรงกัน (3) ด้านเน้นการประนีประนอม ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็นกลาง มีความยุติธรรม มีคุณธรรม ไม่ลำเอียง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทำหน้าที่แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง (4) ด้านเน้นการหลีกเลี่ยง ผู้บริหารสถานศึกษาต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความขัดแย้งเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคล (5) ด้านเน้นการยอมให้ผู้บริหารสถานศึกษาให้ความสำคัญกับข้อเสนอแนะ และแนวคิดของบุคลากร ยอมรับฟังการแสดงความคิดเห็นของบุคลากร
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การศึกษาความต้องการจำเป็นและแนวทางการพัฒนาการบริหารงานงบประมาณ ของผู้บริหารสถานศึกษา ในสหวิทยาเขตพุทธชินราช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา พิษณุโลก อุตรดิตถ์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) สุดารัตน์ แสงผึ้ง; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการบริหารงานงบประมาณของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสหวิทยาเขตพุทธชินราช จำนวน 266 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูจำนวน 159 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบบการตอบสนองคู่ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารงานงบประมาณของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช เครื่องมือที่ใช้ คือแบบสัมภาษณ์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน โดยการเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น ในการบริหารงานงบประมาณของผู้บริหารสถานศึกษา ในภาพรวมมีค่าเท่ากับ 0.11 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าดัชนีลำดับความสำคัญสูงสุด คือ ด้านการบริหารการเงินและควบคุมงบประมาณ สถานศึกษา 2) แนวทางการพัฒนาการบริหารงานงบประมาณของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช จากการสัมภาษณ์ทรงคุณวุฒิมีความคิดเห็นสอดคล้องกันสูงสุด คือ (1) ด้านการวางแผนงบประมาณ ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการตรวจสอบการใช้งบประมาณเป็นระยะตามแผนการปฏิบัติงาน (2) ด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการวางแผนการใช้งบประมาณ รายจ่าย ต้นทุนตามประเภทของงบประมาณ เพื่อ ป้องกันการใช้งบประมาณแบบไม่คุ้มค่า (3) ด้านการจัดระบบการจัดหา ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการประมาณการ เปรียบเทียบราคา ต้นทุน เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจในการจัดซื้อจัดจ้าง (4) ด้านการบริหารการเงินและควบคุมงบประมาณ ผู้บริหารสถานศึกษาควรวิเคราะห์ SWOT เพื่อวางแผนการใช้งบประมาณและดูขีดจำกัดของสถานศึกษา (5) ด้านการรายงานการเงินและผลการดำเนินงาน ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการวิเคราะห์ปัญหา กำหนดวิธีการแก้ปัญหา จัดทำฐานข้อมูลของปัญหา (6) ด้านการบริหารสินทรัพย์ ผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีความเชื่อมั่นในการบริหารสินทรัพย์นั้น (7) ด้านการตรวจสอบภายใน ผู้บริหารสถานศึกษาควรแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบภายใน และรายงานผลการดำเนินงาน และรายงายผลตามระยะเวลาที่กำหนด
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การศึกษาความต้องการจำเป็นและแนวทางการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) กานดา กันฉิม; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารและครูในสหวิทยาเขตพุทธชินราช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ จำนวน 266 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 5 คน ครู 154 คน รวมจำนวน 159 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบบการตอบสนองคู่ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช เครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ประกอบไปด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาโท และมีประสบการณ์ในการบริหารการศึกษาหรือสถานศึกษา จำนวน 7 ท่าน โดยการเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช ค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ในภาพรวมมีค่าเท่ากับ .12 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทักษะความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม มีค่าดัชนีลำดับความสำคัญสูงสุดเป็นลำดับแรก 2) แนวทางการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ ที่ผู้ทรงคุณวุฒิมีความคิดเห็นสอดคล้องกันสูงสุด คือ (1) ด้านทักษะความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาความรู้เกี่ยวกับทักษะการใช้เทคโนโลยี การนำเสนอ และกระบวนการคิด (2) ด้านทักษะการสื่อสารเพื่อการร่วมมือทำงาน ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศ (3) ด้านทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณเพื่อการแก้ปัญหา ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาการคิดอย่างมีเหตุผล ภายใต้ข้อมูลสารสนเทศ ประกอบการตัดสินใจ และสร้างทางเลือกวิธีการแก้ปัญหาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมกับเหตุการณ์ปัจจุบัน
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานเป็นทีมกับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) อริญรดา ทศเทียน; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาระดับการทำงานเป็นทีมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 2) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานเป็นทีมกับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 จำนวน 184 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามที่มีลักษณะแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1.การศึกษาการทำงานเป็นทีมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการมีผลประโยชน์ร่วมกัน 2.การศึกษาการบริหารงานวิชาการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตร 3.การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานเป็นทีมกับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 พบว่า มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับผลการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาและแนวทางการส่งเสริมภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) ปริญดา อ่อนด้วง; นิคม นาคอ้าย
    งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับผลการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และแนวทางการส่งเสริมภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 32 คน และครูผู้สอน 290 คน รวมทั้งหมดจำนวน 322 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (X) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (r) ผลการวิจัยพบว่า 1.ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 พบว่าในภาพรวมมีระดับภาวะผู้นำอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการสร้างจุดเชื่อมต่อ รองลงมาคือ ด้านเป้าหมายเชิงจริยธรรม และค่าเฉลี่ยสำคัญคือ การสร้างและแบ่งปันความรู้ 2.ผลการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 เมื่อพิจารณาในภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับที่ดี เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า มาตรฐานด้านการจัดการศึกษา มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด อันดับรองลงมาคือ มาตรฐานด้านมาตรการ และอันดับสุดท้ายคือ มาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียน ตามลำดับ 3.ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับผลการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนใหญ่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ และมีความสัมพันธ์เชิงบวก เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์เป็นรายด้าน พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลการประกันคุณภาพการศึกษา ความสัมพันธ์ในระดับรองลงมาคือ การสร้างความสัมพันธ์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลการประกันคุณภาพการศึกษา ส่วนความสัมพันธ์ลำดับสุดท้ายคือ การสร้างจุดเชื่อมต่อ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลการประกันคุณภาพการศึกษา 4.แนวทางส่งเสริมความสัมพันธ์ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับผลการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ด้านเป้าหมายเชิงจริยธรรม ผู้บริหารมีการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ลด ละ เลิก อบายมุข ด้านความเข้าใจการเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารมีการเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่จะเกิดขึ้น มีการปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์นั้นๆ และมีการส่งเสริมแนวคิดใหม่ๆในการเผชิญหน้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง ด้านการสร้างความสัมพันธ์ ผู้บริหารมีการสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ร่วมงาน มีการยกย่องชมเชย การให้รางวัล มีการสร้างบรรยากาศการดำเนินงาน มีปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นกันเอง และมีความห่วงใย เอื้ออาทรแก่ผู้ร่วมงาน
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาพอเพียงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) หนึ่งฤทัย มากก้อน; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาพอเพียง 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาพอเพียงของผู้บริหารสถานศึกษาพอเพียง และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาพอเพียงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ประชากรคือ สถานศึกษาพอเพียง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 จำนวน 142 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาพอเพียงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 จำนวน 104 แห่ง ได้มาจากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางประมาณค่ากลุ่มตัวอย่างของเครจซี่มอร์แกน ใช้วิธีสุ่มแบ่งชั้นโดยใช้อำเภอเป็นชั้นในการสุ่ม จากนั้นทำการสุ่มอย่างง่ายเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามแบบมาตรวัดประเมินค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ทักษะภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาพอเพียง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาพอเพียง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3 พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ในภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกและส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ในระดับค่อนข้างต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สินาภรณ์ บุญเลิศฤทธิ์; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ประสิทธิผลของโรงเรียน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 จำนวน 97 แห่ง ได้มาจากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน นำมาสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุมแบบแบ่งชั้น กำหนดกลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูวิชาการในสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับและแบบสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างประสิทธิผลของโรงเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ประสิทธิผลของโรงเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน โดยส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กันในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างประสิทธิผลของโรงเรียน คือสร้างความตระหนักให้ผู้บริหารสถานศึกษาเห็นความสำคัญและความจำเป็นของดิจิทัล ส่งเสริมพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรในด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล พัฒนาองค์ความรู้ด้านการสื่อสารการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อดิจิทัลที่หลากหลาย
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงวิชาการ กับการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) นิศามณี พงพันธ์; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงวิชาการของสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาการดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงวิชาการกับการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 ประชากร คือสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 จำนวน 132 แห่ง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามหน่วยการสุ่มสถานศึกษา โดยใช้ตารางประมาณค่าของเครจซี่มอร์แกน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 จำนวน 103 แห่ง ได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 103 คน และครูผู้สอนในสถานศึกษาจำนวน 103 คน รวมทั้งสิ้น 206 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามจำนวน 68 ข้อ 3 ตอน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำเชิงวิชาการภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำเชิงวิชาการด้านการจัดการเรียนการสอนสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการกำหนดภารกิจของโรงเรียน ลำดับสุดท้ายคือ ด้านการบริหารจัดการหลักสูตร 2) ผู้บริหารสถานศึกษามีการดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยผู้บริหารสถานศึกษามีการดำเนินการประกันคุณภาพภายในด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาสูงสุด รองลงมา คือ ด้านการจัดระบบบริหารและสารสนเทศ ลำดับสุดท้ายคือ ด้านการประเมินคุณภาพการศึกษา และ 3) ภาวะผู้นำเชิงวิชาการมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาคุณลักษณะของผู้บริหารตามความคาดหวังของครูศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) ภัทรชัย เครือกนก; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้กลุ่มตัวอย่างเป็นครูศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดพิษณุโลก การวิจัยเชิงสำรวจโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะของผู้บริหารตามความคาดหวังของครูศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 135 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามที่เป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ประกอบด้วย 1) ด้านความเป็นผู้นำ 2) ด้านวิชาการ 3) ด้านคุณธรรม 4) ด้านบุคลิกภาพ 5) ด้านความสามารถในการบริหาร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (x̄) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาในครั้งนี้ ทำให้ได้ข้อมูลคุณลักษณะของผู้บริหารตามความคาดหวังของครูศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดพิษณุโลก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยในอันดับสูงสุด คือ ด้านความเป็นผู้นำซึ่งอยู่ในระดับมาก รองลงมาด้านคุณธรรมอยู่ในระดับมาก อันดับที่สามด้านความสามารถในการบริหารอยู่ในระดับมาก อันดับสุดท้ายด้านบุคลิกภาพอยู่ในระดับมาก
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การศึกษาปัญหาและแนวทางการพัฒนาการบริหารการศึกษาในสถานการณ์วิถีใหม่ของโรงเรียนบ้านพบพระ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สุภัสสรา เทียมแก้ว; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาปัญหาการบริหารสถานศึกษาในสถานการณ์วิถีใหม่ของโรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารสถานศึกษาในสถานการณ์วิถีใหม่ของโรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ประธากร คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู โรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 รวมจํานวนทั้งสิ้น 65 คน โดยใช้ประชากรทั้งหมดเป็นผู้ให้ข้อมูลเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามปัญหาการบริหารสถานศึกษาในสถานการณ์วิถีใหม่ของโรงเรียนชุมชนบ้านพบพระสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 โดยใช้มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาจากกลุ่มตัวอย่าง โดยผลการวิจัยพบว่า 1.ปัญหาการบริหารสถานศึกษาในสถานการณ์วิถีใหม่ของโรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ในแต่ละองค์ประกอบ อยู่ในระดับน้อย 2.แนวทางพัฒนาการบริหารสถานศึกษาในสถานการณ์วิถีใหม่ของโรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 มีดังนี้ 1) ส่งเสริมและพัฒนาครูให้เต็มศักยภาพ 2) ให้ครูเข้ารับการฝึกอบรมอยู่เสมอ 3) มีแบบแผน วิธีการที่ชัดเจน สอดคล้องกับบริบท 4) การรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 5) จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ และจัดเตรียมระบบสารสนเทศให้มีความพร้อมและมีประสิทธิภาพ
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การศึกษาภาวะผู้นำและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สุกัญญา เกิดอินทร์; นิคม นาคอ้าย; สมหมาย อ่ำดอนกลอย
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 จำนวน 388 คน จำแนกเป็นผู้บริหารจำนวน 103 คน ครู จำนวน 285 คน และสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ในศตวรรษที่ 21 ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้บริหาร ครู มีความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ทักษะการท างานเป็นทีมและการมีส่วนร่วม อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ อยู่ในระดับมาก และการมีวิสัยทัศน์ อยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ทักษะทางความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม อยู่ในระดับมาก และ ทักษะทางด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล อยู่ในระดับมาก 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 ประกอบด้วย 2 ด้าน 9 วิธี คือ ด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม 5 วิธี ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล 4 วิธี
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาสภาพและแนวทางในการบริหารสถานศึกษาเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) เกียรติมนูญ บัวชื่น; นิคม นาคอ้าย; สุขแก้ว คำสอน
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    ปัญหาและแนวทางตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเอง ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) ธีรวัฒน์ ถาวรโชติ; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาปัญหาและแนวทางการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างาน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 39 กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง Krejcie และ Morgan และสุ่มแบบแบ่งชั้นแยกแต่ละอำเภอ ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 246 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาการดำเนินงานตามมาตรฐานการบริหารงานแบบโรงเรียนเป็นฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษา 4 มาตรฐาน ได้แก่ 1) มาตรฐานอิสระและศักยภาพในการบริหารจัดการด้านวิชาการ 2) มาตรฐานอิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล 3) มาตรฐานมีอิสระในการบริหารจัดการการเงิน และ 4) มาตรฐานอิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป จำนวน 47 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 1.ปัญหาการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษา โดยภาพรวมพบว่า มีปัญหา อยู่ในระดับน้อยที่สุด ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาปัญหาการดำเนินงานรายมาตรฐาน ทั้ง 4 มาตรฐาน ก็พบว่า มาตรฐานที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ มาตรฐานที่ 2 อิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล มีปัญหาอยู่ในระดับน้อย และมาตรฐานที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ มาตรฐานที่ 4 อิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป มีปัญหาอยู่ในระดับน้อย 2. แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 39 2.1 แนวทางในมาตรฐานที่ 1 อิสระและศักยภาพในการบริหารจัดการด้านวิชาการ โรงเรียนควรส่งเสริมให้ครูผู้สอนวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล รายชั้นเรียน และโรงเรียน เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพ และกำหนดโครงการกิจกรรม/กิจกรรมการพัฒนา กำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวง มีการแต่งตั้งคณะกรรมการรับผิดชอบในการดำเนินงาน มีการนิเทศติดตาม ตรวจสอบผลการดำเนินงานโดยใช้การประเมินผลสัมฤทธิ์และผลการพัฒนา กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างเป็นระบบ และสรุปและรายงานผล เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนา 2.2 แนวทางในมาตรฐานที่ 2 อิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล โรงเรียนควรมีการจัดทำแผนอัตรากำลังของโรงเรียน โดยคำนึงถึงความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จัดส่งบุคลากรเข้ารับการพัฒนาความสามารถให้สอดคล้องกับความต้องการและงานที่รับผิดชอบ จัดให้ผู้สอนสอนให้ตรงกับวิชาเอก และกำหนดแผนการพัฒนาบุคลากรเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงาน สรุปประเมินและติดตามผลการปฏิบัติงานของบุคลากร และรายงานผลการดำเนินงาน 2.3 แนวทางในมาตรฐานที่ 3 มีอิสระในการบริหารจัดการเงิน แต่งตั้งคณะกรรมการทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีการรายงานผลเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ และรายงานต่อสาธารณชน 2.4 แนวทางในมาตรฐานที่ 4 อิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป จัดระบบสารสนเทศเพื่อใช้ในการบริหารจัดการภายในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับระบบฐานข้อมูลของเขตพื้นที่ สามารถที่จะเชื่อมโยงไปยังสถานศึกษาอื่นๆ มีการประสานและสัมพันธ์ชุมชนโดยการนำเสนอและเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหาร การบริการประชาสัมพันธ์เชิงรุกแก่สาธารณชน และให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วน บริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน และสรุปและนำข้อมูลมาใช้เพื่อพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการประสานงานต่อไป
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    แนวทางการจัดการสารสนเทศของเทศบาลตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ภานุพันธุ์ พิลึก; ชนม์ชกรณ์ วรอินทร์; นิคม นาคอ้าย
    แนวทางการจัดการสารสนเทศของเทศบาลตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร มีจุดมุ่งหมายเพื่อการศึกษาปัญหาของการใช้ข้อมูลสารสนเทศในการบริหารจัดการ และเพื่อการนำเสนอแนวทางการจัดการสารสนเทศ ของเทศบาลตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร การวิจัยครั้งนี้ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งหมด 37 คน โดยการใช้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถาม จำนวน 30 คน และให้สัมภาษณ์จำนวน 7 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหาแล้วสังเคราะห์เป็นแนวทางโดยดำเนินการประเมินความเหมาะสมของแนวทางการจัดการสารสนเทศ ผลการวิจัยพบว่า การบริหารจัดการสารสนเทศด้านฐานข้อมูล มีปัญหาในระดับมาก ด้านระบบ Web Site ของเทศบาลไม่เป็นปัจจุบันเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสร ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศ และไม่มีการจัดหมวดหมู่ข้อมูลสารสนเทศเพื่อช่วยในการบริหาร การบริหารจัดการสารสนเทศด้านทรัพยากร มีปัญหาอยู่ในระดับมาก ในด้านบุคลากรขาดความรู้และทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศ ผู้บริหารของเทศบาลขาดความรู้ความชำนาญระบบสารสนเทศ และบุคคลไม่ให้ความสำคัญในการจัดระบบสารสนเทศ การบริหารจัดการสารสนเทศด้านกระบวนการ มีปัญหาอยู่ในระดับมาก มีปัญหาในการไม่มีการบำรุงรักษา อุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์ ขาดการปรับปรุงข้อมูลสารสนเทศของเทศบาลอย่างต่อเนื่อง และไม่มีการสำรวจความต้องการและพัฒนาบุคลากรในการระบบสารสนเทศ โดยมีแนวทางแก้ไขปัญหาการจัดการสารสนเทศ ดังนี้ ปัญหาด้านฐานข้อมูล จำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อมูลให้ทันต่อเวลา จัดระบบการรักษาข้อมูล และผู้บริหารจำเป็นต้องจัดหาบุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ ให้เพียงพอ ปัญหาด้านทรัพยากร ผู้บริหารต้องตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาให้มีความรู้ ความเข้าใจและเห็นถึงประโยชน์การจัดระบบสารสนเทศ ปัญหาด้านกระบวนการ จัดทำแผนการบำรุงรักษาอุปกรณ์ จัดหาโปรแกรมประมวลผลข้อมูล และแผนพัฒนาบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    แนวทางการพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสอง ในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) กุสุมา แก้วบุรี; นิคม นาคอ้าย; สงวน ช้างฉัตร
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสภาพในการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองและนำเสนอแนวทางพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก การดำเนินการวิจัยมี 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 87 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 การเปรียบเทียบสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำแนกตามประสบการณ์และระดับการศึกษาของผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสอง สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ การทดสอบค่า t-test ขั้นตอนที่ 3 นำเสนอแนวทางพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลก ผลการวิจัยพบว่า 1. การศึกษาสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ทั้ง 4 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ก้านทำเลที่ตั้ง และด้านการส่งเสริมการขาย พบว่า ผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสองมีการดำเนินธุรกิจในภาพรวม มีสภาพการดำเนินธุรกิจอยู่ในระดับมาก 2. การเปรียบเทียบสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำแนกตามประสบการณ์และระดับการศึกษาของผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสอง พบว่าการเปรียบเทียบสภาพดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการจำแนกตามประสบการณ์ทั้ง 2 กลุ่ม การดำเนินงานในภาพรวมไม่แตกต่างกันเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการส่งเสริมการขายแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนผลการเปรียบเทียบสภาพการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการจำแนกตามระดับการศึกษาทั้ง 2 กลุ่ม การดำเนินงานในภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีด้านการส่งเสริมการขายแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.05 3. การนำเสนอแนวทางการพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสองเพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจและช่วยแกไขปัญหาในตลาดที่มีคู่แข่งขันสูง ซึ่งตลาดหแบบเก่าจะมีการพัฒนา ในด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย/ทำเลที่ตั้ง และด้านการส่งเสริมหารขาย แต่การตลาดสมัยใหม่จะมุ่งเน้นการพัฒนาส่วนผสมทางการตลาด4P’ ควบคู่การพัฒนาสินค้า การบริการการสร้างความพึงพอใจ การบริการหลังการขายและการสร้างทัศนคติที่ดีที่ลุกค้ามีให้ผู้ประกอบการ และมีความเชื่อมั่นต่อแบรนด์สินค้า ซึ่งแนวทางการพัฒนามีความเหมาะสมที่จะใช้เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจได้

สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

156 ม.5 ต.พลายชุมพล อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000

โทรศัพท์: 0-5526-7224-5

เว็บไซต์: library.psru.ac.th

E-mail: lib_pibul@live.psru.ac.th

LiveChat

Pibulsongkram Logo

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)

Follow Us
Pibulsongkram Logo

                       

©2025 คลังสารสนเทศดิจิทัลพิบูลสงคราม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • ข้อตกลงสำหรับผู้ใช้
  • ข้อเสนอแนะ