เรียกดูข้อมูลตาม ชื่อผู้แต่ง/ผู้สร้างสรรค์ผลงาน "นงลักษณ์ ใจฉลาด"
กำลังแสดง1 - 10 of 10
- Results Per Page
- ตัวเลือกการเรียงลำดับ
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) สมบัติ ตาเกลี้ยง; สมหมาย อ่ำดอนกลอย; นงลักษณ์ ใจฉลาดการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร มี 2 ขั้นตอน คือ 1) การศึกษาการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร กลุ่มตัวอย่างได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร จำนวน 294 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) การศึกษาแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร โดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา รวมทั้งสิ้น 5 คน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1.การศึกษาสภาพการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งเน้นคุณภาพมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการรายงานประจำปีที่เป็นรายงานประเมินคุณภาพภายใน 2.การศึกษาแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร มีดังนี้ 2.1 ด้านการกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการประชุมและมีการทำประชาพิจารณ์ เพื่อพิจารณาความเหมาะสม และให้ความเห็นชอบมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา และควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทบทวนมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา 2.2 ด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการประชุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อสร้างความตระหนัก และระดมสมองในการกำหนดกลยุทธ์ตัวชี้วัดความสำเร็จ ให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา 2.3 ด้านการจัดระบบบริหารและสารสนเทศ ควรเน้นการมีส่วนร่วมให้ครอบคลุมกระบวนการ 2.4 ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการประเมินระบบประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา เพื่อติดตามการดำเนินงานของสถานศึกษาตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา และควรส่งเสริมให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมเสนอโครงการ อนุมัติโครงการ 2.5 ด้านการติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา ควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ติดตามตรวจสอบการปฏิบัติงานตามภารกิจของสถานศึกษา มีการเปิดเผยผลการตรวจสอบคุณภาพการศึกษาต่อชุมชน 2.6 ด้านการประเมินคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการส่งเสริมการทำงานเป็นทีม มีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ โดยผู้เกี่ยวข้องหรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาปฐมวัย 2.7 ด้านการรายงานประจำปีที่เป็นรายงานประเมินคุณภาพภายใน ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจ มีการนำเสนอแนวทางการจัดทำรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปีของสถานศึกษาให้คณะกรรมการสถานศึกษาได้รับทราบ เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ มีการชี้แจงข้อมูลเชิงประจักษ์ซึ่งจะช่วยกระตุ้นคณะกรรมการสถานศึกษาปฏิบัติงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร่วมกัน 2.8 ด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ควรมีการพัฒนาตนเองของครู มีการประชุมตั้งคณะกรรมการจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันวางแผนการตรวจสอบทบทวนคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาเป็นประจำทุกปี มีการแสดงความคิดเห็นร่วมกันของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในการนำผลการประเมินไปใช้เพื่อพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานของสถานศึกษาให้ดีขึ้นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) กัญชลิกา วงศ์กิตติรัตน์; นงลักษณ์ ใจฉลาด; ผ่องลักษมี จิตต์การุญการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการจัดแสดง ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก และด้านบุคลากร และเปรียบเทียบความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย จําแนกตาม เพศ อายุ และระดับการศึกษา โดยมีประชากรคือนักท่องเที่ยวชาวไทย จํานวน 5,750 คน ได้กลุ่มตัวอย่าง จํานวน 360 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบมีระบบ (Systematic Random Sampling) เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความถี่ การทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบค่าเอฟ (F-test) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ในภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับดี และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับดีทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ด้านบุคลากร รองลงมาคือ ด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านการจัดแสดง และด้านการประชาสัมพันธ์ ตามลําดับ 2. นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ทั้งในภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน แต่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีอายุ และระดับการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ในภาพรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี มีความคิดเห็นต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ทั้งภาพรวมและรายด้าน ตํ่ากว่ากลุ่มอายุอื่นๆรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษากับจริยธรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) ศรีประภา ฮองต้น; นงลักษณ์ ใจฉลาดการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาบทบาทการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา และจริยธรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3 และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษากับจริยธรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 3 กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน รวมทั้งสิ้น 172 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า บทบาทการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ วิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การติดตามและประเมินผลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ในส่วนจริยธรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของครู ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการเข้าถึงข้อมูลและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านความถูกต้อง และการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษากับจริยธรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของครู พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับค่อนข้างสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ พบว่า ด้านที่มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สูงที่สุด คือ การวางแผนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกับด้านการเข้าถึงข้อมูล (r = .454**) และด้านที่มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ต่ำที่สุด คือ การพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกับด้านความเป็นเจ้าของ (r = .119)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการบริหารกับคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาชาติในโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ปฐวี วรรณชัย; นงลักษณ์ ใจฉลาดงานวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารของโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง 2) เพื่อศึกษาคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาชาติของโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับคุณภาพผู้เรียน ตามมาตรฐานการศึกษาชาติของโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง จำนวน 97 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาในโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง สถิติที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ ค่าร้อยละ(x̄) ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (r) ผลการวิจัย พบว่า 1. ปัจจัยการบริหารของโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง พบว่าปัจจัยการบริหารด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านโครงสร้างองค์การ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านนโยบาย มีการปฏิบัติภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. คุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาชาติของโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและมีผลการพัฒนาด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาชาติของโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารมีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกกับคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาชาติในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนในสังกัดสหวิทยาเขตบางมูลนาก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) นิรวิทธ์ ขาวหนู; นงลักษณ์ ใจฉลาดการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียนในสหวิทยาเขตบางมูลนาก 2) ศึกษาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนในสหวิทยาเขตบางมูลนาก และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนในสหวิทยาเขตบางมูลนาก ประชากร คือ ผู้บริหารและครูในสหวิทยาเขตบางมูลนาก จำนวน 246 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสหวิทยาเขตบางมูลนาก จำนวน 152 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง และการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 2 ตอน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสหวิทยาเขตบางมูลนากโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความสามารถในการนำปัจจัยนำเข้าต่าง ๆ มากำหนดกลยุทธ์ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการมีความคิดความเข้าใจระดับสูง 2) การดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนในสังกัดสหวิทยาเขตบางมูลนาก โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการติดตามผลการดำเนินการเพื่อพัฒนาสถานศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนในสังกัดสหวิทยาเขตบางมูลนาก ในภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวก และส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ในระดับค่อนข้างสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะประจำสายงานครูกับคุณภาพผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) วัชร กล่อมเสียง; นงลักษณ์ ใจฉลาดการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสมรรถนะประจำสายงานครู 2) ศึกษาคุณภาพผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะประจำสายงานครูกับคุณภาพผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชรประชากร ได้แก่ บุคลากรในสถานศึกษา จำนวน 32 แห่งกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มงานบริหารวิชาการ ครูผู้แทนมัธยมต้นและครูผู้แทนมัธยมปลาย จำนวน 128 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับสมรรถนะประจำสายงานครู ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ สมรรถนะการบริหารจัดการชั้นเรียน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ สมรรถนะการวิเคราะห์ สังเคราะห์และการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน 2. ระดับคุณภาพผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านคุณธรรมจริยธรรม และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้านการมีทักษะชีวต 3. ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะประจำสายงานครูกับคุณภาพผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ในภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) ณัฐณพัชร์ กลิ่นใจ; นงลักษณ์ ใจฉลาดงานวิจัยนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพปัญหาการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม โดยมีประชากร คือ ผู้บริหาร อาจารย์ผู้สอน และเจ้าหน้าที่ที่ดูแลงานบัณฑิตศึกษาคณะที่เปิดสอนระดับบัณฑิตศึกษา จำนวน 79 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาแนวทางการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและรองคณบดีฝ่ายวิชาการหรือผู้มีประสบการณ์ด้านบัณฑิตศึกษาไม่ต่ำกว่า 4 ปี จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ชนิดกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า ศึกษาสภาพปัญหาการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ในภาพรวมพบว่า มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีปัญหาสุงสุด คือ ด้านจัดการหลักสูตร และด้านที่มีปัญหาต่ำสุด คือ ด้านค่าใช้จ่ายในการศึกษา ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาแนวทางการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ในภาพรวม พบว่า มีแนวทางในการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาด้านหลักสูตรมีแนวทางดังนี้ 1) ควรมีการทบทวนในการพัฒนาหลักสูตรตามรอบระยะเวลาของหลักสูตร 2) ควรให้มีหน่วยงานที่สามารถดูแลหรือรับผิดชอบด้านระดับบัณฑิตศึกษาโดยตรง 3) ควรให้มีบุคลากรที่ดูแลเกี่ยวกับทางด้านบัณฑิตศึกษาโดยตรง 4) ควรการวางแผนอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรและอาจารย์ประจำหลักสูตรเพื่อระดมพลังสมองเกี่ยวกับการบริหารจัดการหลักสูตรรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) รุ่งเรือง มั่นคำ; นงลักษณ์ ใจฉลาดงานวิจัยนี้ มีจุดมุ่งหมาย 1) ศึกษาสภาพการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย 2 จำนวน 118 โรงเรียน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาหรือครูวิชาการ รวมจำนวน 162 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) ศึกษาแนวทางการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย มีดังนี้ 1. การศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการวางแผนและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการปรับปรุง 2. สำหรับการพัฒนาการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษา ควรมีการวิเคราะห์ผลจากการประเมินในปีผ่านมา ทบทวนและปรับปรุงโดยใช้มาตรฐานโครงการอ่านออกเขียนได้ ของกระทรวงศึกษาธิการเพื่อให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาเปรียบเทียบคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผูสอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) รัชนัญ เพชรมี; นงลักษณ์ ใจฉลาด; สมหมาย อ่ำดอนกลอยการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 1 ประชากรในการวิจัยได้แก่ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 1 จำนวน 141 โรงเรียน ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 108 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้บริหารสถานศึกษา 108 คน และครูผู้สอน 108 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบกลุ่มอิสระ (Independent Sample: t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1) คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ย สูงสุดคือ ด้านความรู้ความสามารถในการบริหาร ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการคิดวิเคราะห์และคิดสร้างสรรค์ 2) คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามความคิดเห็นของครูผู้สอน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการคิดวิเคราะห์และคิดสร้างสรรค์ 3) ผลการเปรียบเทียบคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน โดยภาพรวมทั้ง 6 ด้าน พบว่า ไม่แตกต่างกัน และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2 ด้าน คือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ ด้านความรู้ความสามารถในการบริหารรายการ เมทาเดทาเท่านั้น ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามการประเมินแบบสมดุลของสถานศึกษาในเครือข่ายพัฒนาการศึกษาวังทอง 4 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) ธมนวรรณ คำจริง; นงลักษณ์ ใจฉลาดการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษา 1) ปัจจัยการบริหารของสถานศึกษา 2) การดำเนินงานตามการประเมินแบบสมดุลของสถานศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับดำเนินงานตามการประเมินแบบสมดุลของสถานศึกษา และ 4) ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามการประเมินแบบสมดุลของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษา 12 คน ครู 85 คน รวมทั้งหมด 97 คน ในสถานศึกษาเครือข่ายพัฒนาการศึกษา วังทอง 4 ปีการศึกษา 2564 ในการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างเปิดตารางเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลโดยการเจาะจง และการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มี 68 ข้อ แบ่งเป็น 3 ตอน เก็บข้อมูลโดยใช้มาตรวัดประเมินค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการบริหารของสถานศึกษา ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก การด าเนินงานตามการประเมินแบบสมดุลของสถานศึกษา ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับดำเนินงานตามการประเมินแบบสมดุลของสถานศึกษามีความสัมพันธ์กันทางบวก ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามการประเมินแบบสมดุลของสถานศึกษา ตัวพยากรณ์ทุกตัวร่วมกันพยากรณ์ ได้ร้อยละ 77.1 ดังสมการพยากรณ์ ดังนี้ 𝒚̂ = 0.774 + 0.406**X₅ + 0.161*X₃ + 0.137X₄ + 0.126 X₂ - 0.045X₁+ 0.027 X₆ สมการในรูปคะแนนมาตรฐาน Zy = 0.483**X₅+ 0.192*X₃ + 0.166X₄ + 0.146 X₂ - 0.056 X₁ + 0.034 X₆