มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/128
ค้นหา
4 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การบำบัดโลหะหนักที่ปนเปื้อนในดินด้วยพืชบริเวรพื้นที่กำจัดมูลฝอยชุมชน : กรณีศึกษาเทศบาลตำบลในเมือง อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2556) สุพัตรา เอี่ยมนาค; สุขสมาน สังโยคะการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบำบัดโลหะหนักที่ปนเปื้อนในดินด้วยพืชบริเวณพื้นที่กำจัดมูลฝอยชุมชน จากพื้นที่กำจัดมูลฝอยชุมชน ของเทศบาลตำบลในเมือง อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยเก็บตัวอย่างหน้าดินจากพื้นที่กำจัดขยะ พบว่าดินมีการปนเปื้อนของตะกั่ว ทองแดง แคดเมียม สังกะสี และเหล็กเท่ากับ 235.94 271.55 18.06 602.06 และ 3,863.61 มิลลิกรัม/กิโลกรัม การศึกษานี้จะเปรียบเทียบความสามารถในการบำบัดโลหะหนักเมื่อใช้พืช 3 ชนิด ได้แก่ ดาวเรือง มะเขือ และหญ้าแฝก การทดลองทำในระดับห้องปฏิบัติการ และทำการเพาะเมล็ดพืชเป็นเวลา 3 สัปดาห์ จากนั้นจึงย้ายพืชมาปลูกในกระถางขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 นิ้ว ทำการเก็บตัวอย่างดินเพื่อวิเคราะห์หาปริมาณโลหะหนักทุกๆ 7 วัน รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 12 สัปดาห์ จากนั้นเก็บเกี่ยวพืชมาทำการวิเคราะห์หาปริมาณโลหะหนักที่สะสมในส่วนประกอบต่างๆ ของพืช ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณตะกั่ว ทองแดง แคดเมียม สังกะสี และเหล็ก ในชุดการทดลองดาวเรืองลดลง 45.81% 19.96% 47.54% 50.90% และ 46.69% มะเขือลดลง 20.67% 50.14% 71.76% 51.59% และ 49.29% หญ้าแฝกลดลง 14.62% 45.12% 45.09% 51.37% และ 50.73% ตามลำดับ ซึ่งประสิทธิภาพการบำบัดโลหะหนักของพืช พบว่า ดาวเรืองมีคุณสมบัติในการบำบัดแคดเมียมได้ดีที่สุด รองลงมาคือ สังกะสี เหล็ก ทองแดง และตะกั่ว มะเขือบำบัดเหล็กได้ดีที่สุด รองลงมาคือสังกะสี ทองแดง แคดเมียม และตะกั่ว หญ้าแฝกบำบัดสังกะสีได้ดีที่สุด รองลงมาคือเหล็ก ทองแดง แคดเมียม และตะกั่ว สำหรับการสะสมโลหะหนักในส่วนต่างๆ ของพืช การสะสมโลหะหนักทั้ง 5 ชนิด มีแนวโน้มคล้ายคลึงกันคือ มีการสะสมโลหะหนักสูงสุดในราก รองลงมาคือใบ ลำต้น และ ดอก/ผล ตามลำดับ และในสภาวะที่มีการเติมสารก่อคีเลตหรืออีดีทีเอลงไปในดินช่วยส่งเสริมให้การบำบัดโลหะหนักด้วยพืชเกิดได้ดีขึ้นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด นวัตกรรมการบูรณาการการใช้ประโยชน์จากเศษอาหารแบบครบวงจร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ชัชวินทร์ นวลศรี; คงเดช พะสีนาม; ปุณณดา ทะรังศรี; ธันวมาส กาศสนุก; จักรกฤช ศรีละออกระบวนการหมักแบบไร้อากาศเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นวิธีการกำจัดเศษอาหารที่มีประสิทธิภาพและยังได้พลังงานทดแทนกลับมาใช้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่สุดประการหนึ่งคือการลดต่ำลงของค่า pH ในกระบวนการหมัก อันเนื่องมาจากความไม่สมดุลของการผลิตกรดไขมันระเหยง่าย (Volatile Fatty Acids; VFAs) ที่สร้างขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่การนำ VFAs ไปใช้ในการสร้างแก๊สมีเทนเกิดขึ้นได้ช้า ส่งผลให้เกิดการสะสมของ VFAs ในระบบ ซึ่งแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาคือ การนำบัฟเฟอร์มาใช้ในการควบคุมค่า pH ของกระบวนการหมักแบบไร้อากาศ ชุดโครงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาชนิดและความเข้มข้นของบัฟเฟอร์ที่เหมาะสมต่อกระบวนการผลิตแก๊สมีเทนจากเศษอาหาร โดยมีการศึกษาทั้งถังหมักแก๊สมีเทนในระดับห้องปฏิบัติการและถังหมักระดับครัวเรือน นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาการนำกากตะกอนและน้ำเสียจากกระบวนการผลิตแก๊สมีเทนมาผลิตเป็นบูยอินทรีย์น้ำ เพื่อประยุกต์ใช้ทางการเกษตร ผลการวิจัยพบว่า ถ่านกัมมันต์เป็นวัสดุที่มีความเหมาะสมต่อการนำมาใช้เป็นบัฟเฟอร์ของกระบวนการผลิตแก๊สมีเทนจากเศษอาหารมากที่สุด เนื่องจากถ่านกัมมันต์ช่วยรักษาระดับ pH ของน้ำหมัก ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตมีเทนสูงขึ้น และยังช่วยในการดูดซับสีและกลิ่นของน้ำหมักได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอัตราส่วนของถ่านกัมมันต์ต่อเศษอาหารที่เหมาะสมเท่ากับ 3:1 ทำให้ได้ปริมาตรแก๊สมีเทนสะสม ค่าผลได้ของมีเทน และค่าพลังงานของมีเทนสูงที่สุด เท่ากับ 959 mL, 107 mL/g-VS และ 3.83 kJ/g-VS ตามลำดับ นอกจากนี้ ถ่านกัมมันต์ยังส่งผลกระทบทางลบต่อกระบวนการผลิตแก๊สมีเทนน้อยที่สุดเมื่อใช้ในความเข้มข้นระดับสูง จากการขยายขนาดถังหมักสู่ระดับครัวเรือน พบว่าระบบสามารถรองรับปริมาณเศษอาหารได้ประมาณ 3-5 กิโลกรัมต่อวัน ถ่านกัมมันต์และปูนขาวสามารถใช้เป็นบัฟเฟอร์ได้โดยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน จากการนำกากตะกอนและน้ำทิ้งจากกระบวนการหมักมาผลิตเป็นบูยอินทรีย์น้ำและทดสอบการเจริญเติบโตกับผักคะน้า พบว่าสภาวะของปัจจัยที่เหมาะสมต่อการเพิ่มปริมาณน้ำหนักสดของคะน้า คือ ความเข้มข้นของบูยอินทรีย์น้ำ 26.29 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณในการใส่บูยอินทรีย์น้ำ 74.13 มิลลิลิตรต่อต้น และความถี่ในการใส่บูยอินทรีย์น้ำทุก 6.00 วัน ส่งผลให้ได้น้ำหนักสดของคะน้าเท่ากับ 96.58 กรัมรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์การจัดการโครงการคัดแยกขยะ (Waste Hero) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ประจำปี 2559(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) อัญชลี เล็กประดิษฐ์; นิตยา ปิ่นแก้ว; กิ่งกาญจน์ พรมมาพงษ์; ปัทมาพร เงินแจ้งรายการ เมทาเดทาเท่านั้น ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ดำรงค์ ทองศรี; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการขยะมูลฝอย 2. เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอย และ 3. เพื่อศึกษาแนวทางในการสร้างรูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงผสานวิธี ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประชากร ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จำนวน 14,705 หลังคาเรือน มีประชากร 30,637 คน การสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Taro Yamane ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 390 ครัวเรือน ๆ ละ 1 คน รวมถึงผู้ตัวอย่าง 390 คน ซึ่งผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างจากครัวเรือนในแต่ละชุมชนโดยใช้ตารางเลขสุ่ม (Table of Random Numbers) ส่วนการศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพ ด้วยการสนทนากลุ่ม (Focus Group) ผลการวิจัย พบว่า สภาพการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ มีผลการดำเนินงานเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ มี 3 ปัจจัย คือ 1. ปัจจัยด้านความรู้ความเข้าใจในการจัดการขยะมูลฝอย 2. ปัจจัยด้านทัศนคติต่อการจัดการขยะมูลฝอย และ 3. ปัจจัยด้านพฤติกรรมในการจัดการขยะมูลฝอย ส่วนแนวทางในการสร้างรูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ พบว่าได้ค้นพบรูปแบบ “UTTARA Model” ซึ่งมีแนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอย 6 ด้าน ตามขั้นตอน UTTARA Model ประกอบด้วย 1. ด้านการกระตุ้นให้ร่วมมือจัดการขยะมูลฝอย (Urge : U) 2. ด้านการคัดแยกขยะมูลฝอย (Trash Distinguish : T) 3. ด้านการเก็บขนขยะมูลฝอย (Transport : T) 4. ด้านการฝังกลบขยะมูลฝอย (Action Landfill : A) 5. ด้านการกำจัดขยะมูลฝอย (Rid Waste : R) และ 6. การแต่งตั้งคณะทำงานด้านขยะมูลฝอย (Appoint : A) นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขความสำเร็จของการใช้รูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 2 เงื่อนไข ได้แก่ 1. ความตั้งใจของฝ่ายบริหารและฝ่ายปฏิบัติการทุกระดับ และ 2. ความร่วมมือของภาคีเครือข่ายและแกนนำภาคประชาชนในพื้นที่ จากการตรวจสอบรูปแบบฯ พบว่า รูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ตามแนวทาง UTTARA Model มีความเหมาะสม มีความเป็นไปได้ และมีความเป็นประโยชน์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด