มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/128
ค้นหา
203 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร กรณีศึกษา : ตำบลหนองกลับ อำเภอสวรรคโลก สุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) กฤษณะ เอี่ยมสะอาด; นงคราญ กาญจนประเสริฐ; อำนวยพร สุนทรสมัย; สาคร สร้อยสังวาลย์ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพบริบทชุมชน ปัญหาความต้องการ ใช้น้ำรวมทั้งเสนอแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร และตรวจสอบแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร โดยจัดเวทีประชาคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในกรณีศึกษาได้แก่ เกษตรกรที่ปลูกพืชหลัก 5ชนิด คือ ข้าว กล้วยไข่ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพด จำนวน 300 ครัวเรือน ในเขตพื้นตำบลหนองกลับ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ผลการศึกษาพบว่า ตำบลหนองกลับเป็นที่ราบลุ่ม สภาพดินมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การปลูกข้าวมากที่สุด ในอดีตให้ผลคุ้มค่า แต่ภายหลังเกิดโรค แมลง ศัตรูพืชระบาด เกษตรกรจึงหันมาปลุกกล้วยไข่ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพดตามลำดับ ในด้านปัญหาเกี่ยวกับน้ำเพื่อการเกษตร เกษตรกรปลูกข้าวเป็นพืชหลัก อาศัยน้ำจากน้ำฝนเพียงอย่างเดียวเพราะไม่มีแหล่งน้ำไหลผ่าน มีเพียงลำคลองสายสั้น ที่มีน้ำเฉพาะฤดูฝนทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี นอกจากนั้น ในฤดูฝนบางปีอาจมีน้ำท่วม ทำให้ใช้น้ำจากบ่อบาดาล คลอง หนอง และบึงธรรมชาติ โดยมีน้ำใช้เพียงพอต่อการเพาะปลูกตลอดปี แต่ในช่วงฤดูฝน บางปีอาจถุกน้ำท่วมทำให้ผลผลิตเสียหาย สำหรับความต้องการ และข้อเสนอแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนแล้ว มีดังนี้คือ 1. ต้องการระบบชลประทาน โดยเฉพาะคลองส่งน้ำ ที่สามารถกระจายน้ำเข้าไปในพื้นที่เพาะปลุกทั่วถึง 2. ต้องการแหล่งน้ำตามแนวทฤษฎีใหม่ โดยเฉพาะการขุดสระกักเก็บน้ำที่จะทำให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอต่อการเพาะปลูกตลอดทั้งปี 3. ต้องการขุดลอกคลอง หนอง และบึงธรรมชาติ ให้มีความเหมาะสม ซึ่งเป็นความต้องการของเกษตรกร ที่ปลูกกล้วยไม้ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพด 4. ควรมีการส่งเสริมให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาพัฒนาแหล่งน้ำของตนเองจะก่อเกิดประโยชน์ในหลายประการ และทำให้การดำเนินงานด้านเกษตรกรรมของชุมชนเป็นไปอย่างมีระบบมีเป้าหมาย สร้างความเป็นธรรมชาติแก่เกษตรกรผู้ใช้น้ำโดยส่วนร่วม ผลการตรวจสอบแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พบว่า ประชาชนให้ความสนใจ และมีมติเห็นชอบกับแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ดังกล่าวไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์การใช้บริการห้องเรียนไอทีของอาจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) ปณิธาร บัวเผื่อน; โสภณ พินิจกิจเจริญกุล; ปัทมาพร เงินแจ้งรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนารูปแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก ในจังหวัดสุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) สุรีย์พร เพ็งเลีย; ภาวิดา มหาวงศ์การพัฒนารูปแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก จังหวัดสุโขทัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลการใช้รูปแบบการสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก จังหวัดสุโขทัย เครื่องมือในการวิจัยครั้งนี้แบ่งเป็นเครื่องมือทดลอง ได้แก่ รูปแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพสำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก จังหวัดสุโขทัยประกอบด้วย หลักการหรือคำนิยาม จุดมุ่งหมาย ขั้นตอนการประยุกต์ใช้ และเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) แบบทดสอบความเข้าใจชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) สำหรับโรงเรียนโรงเรียนขนาดเล็ก จังหวัดสุโขทัย กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 2 ท่าน ครูผู้สอนจำนวน 18 ท่านของโรงเรียนบ้านดงเดือยและโรงเรียนบ้านดอนสาโรง ตำบลดงเดือย อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัยคัดเลือกด้วยวิธีการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบที (t-test independent) ผลการศึกษาการใช้รูปแบบฯ ตามตัวชี้วัดที่ 1 การทดสอบความรู้เกี่ยวกับชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของบุคคลากรโรงเรียนโรงเรียนขนาดเล็ก จังหวัดสุโขทัยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 13.15 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .89 และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนของบุคลากรก่อนและหลังการใช้รูปแบบฯ พบว่า คะแนนหลังการใช้รูปแบบฯ สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบฯ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตัวชี้วัดที่ 2 การประเมินวงจรชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดสุโขทัย พบว่า วงจรชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดสุโขทัยในมิติภาวะผู้นําร่วมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.84 มิติการเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.75 มิติการมีวิสัยทัศน์ร่วมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.63 มิติการทํางานเป็นทีมแบบร่วมแรงร่วมใจและมิติสภาพแวดล้อมเชิงบวกมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.56 ตามลําดับ ตัวชี้วัดที่ 3 การประเมินการสร้างวัฒนธรรมแห่งกัลยาณมิตรของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดสุโขทัย พบว่า วัฒนธรรมแห่งกัลยาณมิตรของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดสุโขทัยในมิติการสนับสนุนจากผู้นํามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.07 มิติการเปิดรับในการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.89 มิติความไว้วางใจและความนับถือมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.76 มิติกัลยาณมิตรทางวิชาการมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.66 ตามลําดับ สรุปได้ว่า การพัฒนารูปแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดสุโขทัยมีองค์ประกอบสําคัญ 5 ประการได้แก่ หลักการและแนวคิด จุดมุ่งหมาย วงจรชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ขั้นตอนและกิจกรรม และการสะท้อนผลหรือข้อมูลย้อนกลับ มีตัวชี้วัดคุณภาพของรูปแบบที่สําคัญ 3 ประการได้แก่ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของบุคลากร วงจรชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 5 มิติ และวัฒนธรรมแห่งกัลยาณมิตรของโรงเรียนขนาดเล็ก 4 มิติ ถือเป็นกระบวนการพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีความเป็นมืออาชีพ มีมาตรฐานวิชาชีพและมีจิตวิญญาณความเป็นครู มีการปฏิบัติหน้าที่สอดคล้องกับบริบทความต้องการของท้องถิ่น เกิดความตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง ริเริ่มการประยุกต์ใช้ของชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพเป็นเครื่องมือในการยกระดับศักยภาพการจัดการเรียนรู้แก่ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถ ในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ของนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) ยุคลธร สังข์สอน; อารีย์ ปริติกุล; เอื้อมพร หลินเจริญการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่หมายเพื่ออพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ของนักเรียนระดบการศึกษาขั้นพื้นฐาน การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนาดำเนินการ4 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานจากการสัมภาษณ์ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และนักเรียนโรงเรียนมาตรฐานสากลที่มีผลการปฏิบัติที่ด์จำนวน 3 โรงเรียน สัมภาษณ์ศึกษามีเทศก์และครูที่มีผลงานดีเด่น์ จำนวน 6 คน และรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร 2) สร้างและหาคุณภาพรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยผู้เชี่ยวชาญ 9 ท่าน และทดลองนำร่องกับนักเรียน์จำนวน 39 คน 3) ทดลองใช้และศึกษาผลการใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5 โรงเรียนอนุบาลบางมูลนาก "ราษฎร์อุทิศ"์ จำนวน 38 คน และ4) ศึกษาความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูผู้สอนจัดการเรียนรู้การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตามแนวทางของโรงเรียนมาตรฐานสากล นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด และแนวทางการจัดการเรียนรู้ เพื่อการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ได้แก่ การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน และการจัดการเรียนรู้การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง 2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการจุดประสงค์ สาระการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล โดยมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นกระตุ้นความสนใจ 2) ขั้นทบทวนความรู้เดิม 3) ขั้นค้นคว้าและรวบรวมข้อมูล 4) ขั้นสร้างความรู้ใหม่ 5) ขั้นนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ และสะท้อนความคิดในทุกขั้นตอน การวัดและประเมินผลใช้การประเมินตามสภาพจริงที่กำหนดเกณฑ์การให้คะแนนแบบรูบริค ผลการตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบ พบว่า มีความเหมาะสมและมีความสอดคล้องอยู่ในระดับมากที่สุด และผลการทดลองนำร่อง พบว่า กระบวนการจัดการเรียนรู้ของรูปแบบเป็นขั้นตอน สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีความสามารถในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 2.29 และ4) ครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมากที่สุดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Project Based Learning ผ่านสังคมออนไลน์รายวิชาสารสนเทศทางสุขภาพสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) จิตศิริน ลายลักษณ์; กิ่งแก้ว สำรวยรื่น; บัญชา สำรวยรื่นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาสภาพแวดล้อมที่เป็นอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอน ในสาขาวิศวกรรมการผลิต คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) สำเริง แปลกอ่องรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การสร้างและหาประสิทธิภาพชุดฝึกระบบอัตโนมัติสำหรับการฝึกปฏิบัติ เรื่องการคัดแยกวัสดุ รายวิชาระบบควบคุมอัตโนมัติ หลักสูตรสาขาวิชาคอมพิวเตอร์อุตสาหกรรม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) สมเจตน์ ทองดีรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาคุณลักษณะของนักศึกษาในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ หลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิตสาขาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) อมรรัตน์ คล้ายสอนรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การประเมินองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดต่างๆ จากผักมะไห่และสมบัติการออกฤทธิ์ทางชีวภาพ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) กีรติ ตันเรือน; พิสิษฐ์ พูลประเสริฐผักมะไห่หรือผักไห่ (Momordica 'Ma Hai') เป็นพืชชนิดหนึ่งในวงศ์ Cucurbitaceae ที่สามารถรับประทานได้ โดยนิยมนำส่วนของยอดไปใช้เป็นอาหารอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตามพบว่ายังไม่มีการรายงานถึงองค์ประกอบทางเคมีและสมบัติทางชีวภาพของพืชชนิดนี้ ดังนั้นในงานวิจัยนี้จึงได้ตรวจสอบองค์ประกอบทางเคมี ฤทธิ์ด้านสารอนุมูลอิสระและฤทธิ์ด้านเชื้อจุลินทรีย์ของน้ำมันหอมระเหย สารสกัดเมทานอล อะซิโตนและเอทิลอะซิเตทของผักมะไห่ โดยน้ำมันหอมระเหยของผักมะไห่ได้จากการสกัดใบและก้านแห้งด้วยการกลั่นไอน้ำและแยกชั้นด้วยไดคลอโรมีเทนแล้วทำการระเหยไดคลอโรมีเทนออก ส่วนสารสกัดเมทานอล อะซิโตนและเอทิลอะซิเตทได้จากการนำตัวอย่างใบและก้านแห้งมาแช่ด้วยเมทานอล อะซิโตนหรือเอทิลอะซิเตท เป็นเวลา 12 ชั่วโมง จากนั้นนำมากรองและระเหยด้วยเครื่องกลั่นระเหยสุญญากาศ องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยวิเคราะห์ด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟีแมสสเปกโทรมทรี ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ทั้งหมดวิเคราะห์ด้วยวิธี folin-ciocalteu และ aluminium chloride colorimetric ตามลำดับ ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl (DPPH) scavenging และ Ferric reducing antioxidant power (FRAP) และทดสอบฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ก่อโรค 6 ชนิด (Bacillus cereus, B. subtilis, Candida albicans, Escherichia coli, Pseudomonas fluorescens และ Salmonella typhi) ด้วยวิธี paper disc-diffusion จากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่ด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟี–แมสสเปกโทรมทรีพบว่าน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่มีองค์ประกอบที่ระเหยได้ 7 ชนิด โดยพบ anethole ซึ่งเป็นสารให้กลิ่นในอุตสาหกรรมหลายชนิดเป็นองค์ประกอบหลัก และน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่ยังพบปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและสารประกอบฟลาโวนอยด์ทั้งหมดสูงที่สุด คือ 65.6 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัดและ 42.6 มิลลิกรัมสมมูลเคอเซทินต่อกรัมสารสกัด ตามลำดับ ขณะที่พบว่าสารสกัดเอทิลอะซิเตทมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดโดยมีค่าความเข้มข้นในการยับยั้งที่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่ากับ 0.95 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรและมีค่า FRAP value เท่ากับ 16.8 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัด นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดจากผักไห่มีความสามารถในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ทดสอบได้ทุกชนิด โดยน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ยับยั้งจุลินทรีย์ทดสอบได้ดีกว่าสารสกัดจากตัวทำละลายชนิดอื่น ดังนั้นสารสกัดจากผักไห่จึงมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเป็นสารให้กลิ่นและสารด้านเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารและเครื่องสำอางต่อไปในอนาคตรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การบริหารและจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2547) ชุลีรัตน์ จันทร์เชื้อการวิจัยเรื่อง การบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าและแบบสำรวจการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อนำไปเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานการบริหารและการจัดการเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอื่นๆ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ แบบจำลองการบริหารและการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยปรับแต่งเป็นแบบสำรวจเพื่อใช้เก็บข้อมูลภาคสนามและแบบสอบถามที่นำไปเก็บข้อมูลจากหัวหน้าอุทยานแห่งชาติภู่หินร่องกล้า บุคคลผู้ปฏิบัติงานในอุทยานฯ นักท่องเที่ยว ประชาชนชุมชนท้องถิ่น ผลการศึกษาพบว่า อุทยานแห่งชาติภู่หินร่องกล้ามีความสามารถในการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในระดับที่สูง มีเพียง 4 กิจกรรมเท่านั้นที่อุทยานฯยังไม่ได้ดำเนินการ ส่วนความสามารถในการบริหารและการจัดการเกี่ยวกับส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น บุคลากรในองค์กร, นักท่องเที่ยว และชุมชนท้องถิ่นในเขตอุทยาน อยู่ในระดับดีพอสมควรทำให้เชื่อมั่นได้ว่าแบบสำรวจและแบบสอบถามการบริหารและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศจะสามารถเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติได้