มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/128

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 10 of 104
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนาทักษะการเขียนโดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอกสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) พิมพ์รัตน์ จักรบุตร; สกล เกิดผล; วีระพงษ์ อินทร์ทอง
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนของนักเรียนก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะ และเพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 14 คน เลือกโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนตามคำบอก สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก มีประสิทธิภาพเท่ากับ 76.60/77.71 หลังจากได้รับการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก นักเรียนมีทักษะการเขียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอกโดยรวมอยู่ในระดับมาก
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    แรงจูงใจของนักศึกษาในการศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงของวิทยาลัยชุมชนในจังหวัดพิจิตร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2561) คัณฑสรวง กรึ่งทอง; พิภพ สุนทรสมัย; นิวัตร พัฒนะ
    งานวิจัยมีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการศึกษาต่อของนักศึกษาระดับ ปวส. ของวิทยาลัยชุมชนในจังหวัดพิจิตร รวม 4 ด้าน คือ ด้านเหตุผลส่วนตัว ด้านลักษณะของสถาบัน ด้านบุคคลที่เกี่ยวข้อง และด้านการประกอบอาชีพ (2) เพื่อเปรียบเทียบแรงจูงใจในการศึกษาต่อของนักศึกษาระดับ ปวส. ของวิทยาลัยชุมชนในจังหวัดพิจิตร โดยทำการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับ ปวส. ชั้นปีที่ 1 และ 2 ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2559 ที่เรียนในรอบเข้าและรอบบ่าย จำนวน 30 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือแบบสอบถาม ทำการวิเคราะห์ค่าสถิติด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test ค่า F-test มาประมวลผลวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า (1) แรงจูงใจในการศึกษาต่อระดับ ปวส. ของนักศึกษาวิทยาลัยชุมชนในจังหวัดพิจิตรโดยรวมพบว่าด้านการประกอบอาชีพเป็นแรงจูงใจสูงสุด รองลงมาคือด้านเหตุผลส่วนตัว ด้านลักษณะของสถาบัน และด้านบุคคลที่เกี่ยวข้อง (2) ด้านเหตุผลส่วนตัว นักศึกษามีแรงจูงใจในการศึกษาต่อระดับ ปวส. อยู่ในระดับมาก ด้านลักษณะของสถาบัน มีแรงจูงใจในการศึกษาต่อในระดับ ปวส. อยู่ในระดับมาก ด้านบุคคลที่เกี่ยวข้องมีแรงจูงใจในการศึกษาต่อระดับ ปวส. อยู่ในระดับมาก ด้านการประกอบอาชีพ นักศึกษามีแรงจูงใจในการศึกษาต่อระดับ ปวส. อยู่ในระดับมาก
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การใช้เกมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์เรื่อง พฤติกรรมบางประการของสัตว์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) กุลธิดา ชูเสน; กาญจนา ธนนพคุณ
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแผนการเรียนการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เกมวิทยาศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 จํานวน 38 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยการใช้เกมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พฤติกรรมบางประการของสัตว์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์และแบบสอบถามความพึงพอใจ ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเที่ยงตรงของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หาความยากง่าย การหาค่าอํานาจจําแนก ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ KR-20 การเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียนโดยใช้สูตร t-test พบว่า ผลการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยการใช้เกมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พฤติกรรมบางประการของสัตว์ ทุกหัวข้อเรื่องมีอัตราส่วนของคะแนนเฉลี่ยมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 80 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพแผนการสอนการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.00/86.76 สูงกว่าเกณฑ์ที่กําหนด 80/80 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างผลคะแนนที่ได้จากการทําแบบทดสอบหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 และผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.29 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.66
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนาชุดการสอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ K-W-D-L ในการแก้โจทย์ปัญหารายวิชาคณิตศาสตร์เชื่อม ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) กุสิมา เกล็บจุ; เอื้อบุญ ที่พึ่ง; นิวัตร พัฒนะ
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาชุดการสอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ K-W-D-L ในการแก้โจทย์ปัญหารายวิชาคณิตศาสตร์เชื่อม ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดการสอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ K-W-D-L ในการแก้โจทย์ปัญหารายวิชาคณิตศาสตร์เชื่อม ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ และ (3) หาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดการสอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ K-W-D-L ในการแก้โจทย์ปัญหารายวิชาคณิตศาสตร์เชื่อม ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 24 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นชุดการสอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ K-W-D-L ในการแก้โจทย์ปัญหา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบเลือกตอบ และแบบสอบถามวัดความพึงพอใจมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติ t-test ผลการวิจัยพบว่า (1) ชุดการสอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ K-W-D-L ในการแก้โจทย์ปัญหารายวิชาคณิตศาสตร์เชื่อม ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 83.19/85.25 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ (3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดการสอน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.34
  • รายการ
    การศึกษาภาวะผู้นำและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สุกัญญา เกิดอินทร์; นิคม นาคอ้าย; สมหมาย อ่ำดอนกลอย
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 จำนวน 388 คน จำแนกเป็นผู้บริหารจำนวน 103 คน ครู จำนวน 285 คน และสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ในศตวรรษที่ 21 ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้บริหาร ครู มีความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ทักษะการท างานเป็นทีมและการมีส่วนร่วม อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ อยู่ในระดับมาก และการมีวิสัยทัศน์ อยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ทักษะทางความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม อยู่ในระดับมาก และ ทักษะทางด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล อยู่ในระดับมาก 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 ประกอบด้วย 2 ด้าน 9 วิธี คือ ด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม 5 วิธี ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล 4 วิธี
  • รายการ
    กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ ต่าย อรทัย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) แสงเดือน จงจำ; สุชาดา เจียพงษ์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” และเพื่อวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” ทั้งนี้วิเคราะห์ บทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” จำนวน 32 เพลง ใช้กรอบแนวคิดความเป็นชายขอบ 4 ด้าน ได้แก่ 1) บริบทด้านภูมิศาสตร์ 2) บริบทด้านเศรษฐกิจ 3) บริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม และ 4) บริบทด้านการศึกษา ส่วนการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบ ใช้กรอบแนวคิดกลวิธีทางภาษาระดับข้อความ 3 ด้าน ได้แก่ 1) กลวิธีทางศัพท์ 2) กลวิธีการขยายความ 3) กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบ 1. ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” พบ 4 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านภูมิศาสตร์ และความเป็นชายขอบในบริบทด้านเศรษฐกิจปรากฏในความถี่มากที่สุด 2 ด้านเท่ากัน จำนวน 28 เพลง คิดเป็นร้อยละ 87.50 รองลงมา คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านการศึกษา จำนวน 7 เพลง คิดเป็นร้อยละ 21.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม จำนวน 4 เพลง คิดเป็นร้อยละ 12.50 ตามลำดับ ส่วนผลการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษา ผลการวิจัยพบ 2.กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” ทั้งหมด 3 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ กลวิธีทางศัพท์ จำนวน 27 เพลง คิดเป็นร้อยละ 84.38 และรองลงมา คือ กลวิธีการขยายความ จำนวน 23 เพลง คิดเป็นร้อยละ 71.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม จำนวน 21 เพลง คิดเป็นร้อยละ 65.63
  • รายการ
    การศึกษาความต้องการจำเป็นและแนวทางการพัฒนาการบริหารงานงบประมาณ ของผู้บริหารสถานศึกษา ในสหวิทยาเขตพุทธชินราช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา พิษณุโลก อุตรดิตถ์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) สุดารัตน์ แสงผึ้ง; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการบริหารงานงบประมาณของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสหวิทยาเขตพุทธชินราช จำนวน 266 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูจำนวน 159 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบบการตอบสนองคู่ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารงานงบประมาณของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช เครื่องมือที่ใช้ คือแบบสัมภาษณ์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน โดยการเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น ในการบริหารงานงบประมาณของผู้บริหารสถานศึกษา ในภาพรวมมีค่าเท่ากับ 0.11 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าดัชนีลำดับความสำคัญสูงสุด คือ ด้านการบริหารการเงินและควบคุมงบประมาณ สถานศึกษา 2) แนวทางการพัฒนาการบริหารงานงบประมาณของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช จากการสัมภาษณ์ทรงคุณวุฒิมีความคิดเห็นสอดคล้องกันสูงสุด คือ (1) ด้านการวางแผนงบประมาณ ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการตรวจสอบการใช้งบประมาณเป็นระยะตามแผนการปฏิบัติงาน (2) ด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการวางแผนการใช้งบประมาณ รายจ่าย ต้นทุนตามประเภทของงบประมาณ เพื่อ ป้องกันการใช้งบประมาณแบบไม่คุ้มค่า (3) ด้านการจัดระบบการจัดหา ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการประมาณการ เปรียบเทียบราคา ต้นทุน เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจในการจัดซื้อจัดจ้าง (4) ด้านการบริหารการเงินและควบคุมงบประมาณ ผู้บริหารสถานศึกษาควรวิเคราะห์ SWOT เพื่อวางแผนการใช้งบประมาณและดูขีดจำกัดของสถานศึกษา (5) ด้านการรายงานการเงินและผลการดำเนินงาน ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการวิเคราะห์ปัญหา กำหนดวิธีการแก้ปัญหา จัดทำฐานข้อมูลของปัญหา (6) ด้านการบริหารสินทรัพย์ ผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีความเชื่อมั่นในการบริหารสินทรัพย์นั้น (7) ด้านการตรวจสอบภายใน ผู้บริหารสถานศึกษาควรแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบภายใน และรายงานผลการดำเนินงาน และรายงายผลตามระยะเวลาที่กำหนด
  • รายการ
    อิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยี และการรับรู้ความเสี่ยงที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ถมทอง เผือกอ่อน; วิจิตรา จำลองราษฎร์; อรรถพล จรจันทร์
    การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการยอมรับเทคโนโลยี การรับรู้ความเสี่ยงและการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ กับการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยี และการรับรู้ความเสี่ยงที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ประชากรคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 400 ราย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบจำแนกทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า การยอมรับเทคโนโลยีอยู่ในระดับมากที่สุด การรับรู้ความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลาง และการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนเพศ อายุ และรายได้ที่แตกต่างกันมีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แตกต่างกัน สำหรับการวิเคราะห์อิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยี และการรับรู้ความเสี่ยงที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า การยอมรับเทคโนโลยีมีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ส่วนการรับรู้ความเสี่ยงไม่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยสมการพยากรณ์สามารถพยากรณ์การตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ถูกต้องร้อยละ 24.20
  • รายการ
    ภาพลักษณ์องค์กรและคุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยธนาคารอาคารสงเคราะห์ เขตภาคเหนือตอนล่าง
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ลัดดา อินต๊ะใจ; อรุณี นุสิทธิ์; ศุภนารี พิรส
    งานวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสื่อสารการตลาดแบบปากต่อปากผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์และส่วนประสมการตลาด 4Es ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 400 คน จากกลุ่มลูกค้าที่เลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน ในเขตภาคเหนือ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า T-Test ค่า One way ANOVA และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1) เพศ อายุ สภานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่อเดือน ที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) การสื่อสารการตลาดแบบปากต่อปากผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต และผ่านทางวีดีโอออนไลน์ ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ ส่งผลร้อยละ 28.50 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ 3).ส่วนประสมการตลาด 4Es ด้านการสร้างความสัมพันธ์และด้านการสร้างประสบการณ์ ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ ส่งผลร้อยละ 51.10 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05
  • รายการ
    คุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อธนาคารออมสินสาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) คุณากร สืบสายอ่อน; ลัสดา ยาวิละ; จิระภา งามสุทธิ
    วัตถุประสงค์งานวิจัยนี้คือ เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการใช้บริการ และเพื่อศึกษาคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากลูกค้าที่มาใช้บริการธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร จ านวน 400 ราย ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจในด้านความสะดวกและสิ่งอำนวยความสะดวกของแหล่งบริการ ด้านการเข้าถึงแหล่งบริการ ด้านความพอเพียงของบริการที่มีอยู่ อยู่ในระดับมาก ส่วนความสามารถของลูกค้าที่จะเสียค่าใช้จ่ายสำหรับบริการอยู่ในระดับปานกลาง และคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ ด้านการรู้จักและเข้าใจลูกค้า ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อลูกค้า ด้านการตอบสนองต่อลูกค้า และด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้ อยู่ในระดับมาก ส่วนการเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และรายได้ต่อเดือน ที่แตกต่างกันมีผลต่อคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจของลูกค้ากับคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร มีความสัมพันธ์กันในระดับสูง โดยมีค่าความสัมพันธ์ ระหว่าง 0.602– 0.764