มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/128

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 10 of 166
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาความสามารถในการเขียนสื่อความ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค CIRC
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2551) เลิศพันธุ์ มั่นคง; กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์; อรอนงค์ อิงคะสุวณิชย์
    การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนสื่อความสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค CIRC ก่อนและหลังเรียน โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวังทรายพูนวิทยา ปีการศึกษา 2551 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 30 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนสื่อความ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบค่าที t-test dependent) ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการเขียนสื่อความ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค CIRC หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทยสำหรับนักเรียนสองภาษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2553) บุญรักษา มั่งเกตุ; ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์; อรอนงค์ อิงคะสุวณิชย์
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทยสำหรับนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อศึกษาผลการใช้แบบฝึกโดยเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนคำภาษาไทย ของนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนเสริมทักษะโดยใช้แบบฝึกสอนเสริมทักษะ ก่อนสอนเสริมทักษะกับหลังสอนเสริมทักษะ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนจ่าการบุญ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลกเขต 1 ที่มีผลการสอบจุดประสงค์ด้านการเขียนสะกดคำภาษาไทย ที่สะกดคำด้วยแม่กก แม่กด แม่กน แม่กบ ไม่เผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย คู่มือการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย และ แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนสะกดคำภาษาไทย จำนวน 9 แบบฝึกกับกลุ่มตัวอย่าง เป็นเวลา 20 ชั่วโมง แล้วทดสอบหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1. แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย สำหรับนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 9 แบบฝึก มีประสิทธิภาพเท่ากับ 94.34/94.44, 97.68/91.33, 96.00/88.89, 97.33/91.11, 92.19/86.00, 94.05/91.78, 94.84/91.56, 94.71/96.00, และ 95.00/95.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2. ทักษะในการเขียนสะกดคำภาษาไทย สำหรับนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังสอนเสริมสูงกว่าก่อนสอนเสริมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนาทักษะการเขียนโดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอกสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) พิมพ์รัตน์ จักรบุตร; สกล เกิดผล; วีระพงษ์ อินทร์ทอง
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนของนักเรียนก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะ และเพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 14 คน เลือกโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนตามคำบอก สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก มีประสิทธิภาพเท่ากับ 76.60/77.71 หลังจากได้รับการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก นักเรียนมีทักษะการเขียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอกโดยรวมอยู่ในระดับมาก
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาความคิดเห็นของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในจังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) วิลาวัลย์ ประทุมวงศ์; สธน โรจตระกูล; ลำยอง สำเร็จดี
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 66 แห่ง แห่งละ 3 คน ประกอบด้วย นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 66 คน สมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 66 คน และปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 66 คน รวมทั้งสิ้น 198 คน ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีค่า Reliability เท่ากับ .95 ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ได้ข้อมูลกลับคืนมา จำนวน 183 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 92.42 และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบโดยการหาค่าที่ และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว จากนั้นทดสอบรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ ผลการวิจัยพบว่า 1.ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดพิษณุโลก มีความคิดเห็นต่อความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านงบประมาณมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ ด้านการวางแผน และต่ำสุด ได้แก่ ด้านบุคลากร 2.ผลการเปรียบเทียบความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดพิษณุโลก จำแนกตามตัวแปรอิสระ 2 ตัวแปร ดังนี้ 2.1จำแนกตามประเภทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาพรวมไม่แตกต่างกัน โดยผู้บริหารเทศบาลมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ส่วนผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก โดยด้านการวางแผน และด้านบริหารจัดการศึกษามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.2จำแนกตามประสบการณ์การบริหารงาน ภาพรวมและทุกด้านไม่แตกต่างกัน โดยผู้บริหารที่มีประสบการณ์การบริหารงานน้อยกว่า 5 ปี มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ผู้บริหารที่มีประสบการณ์การบริหารงาน 5 – 10 ปี มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และผู้บริหารที่มีประสบการณ์การบริหารงานมากกว่า 10 ปี มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากด้วยเช่นเดียวกัน
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    แนวทางการลดสารปนเปื้อนตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการร้านค้าที่ขายสินค้าในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) สุรวุฒิ ด่วนเจริญศรี; พิทักษ์ อยู่มี; อนงค์นาฏ คงประชา
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการรับรู้และแนวทางเรื่องสารปนเปื้อนที่ตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการร้านค้าที่ขายสินค้าในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ได้แก่ ผู้ประกอบการร้านค้า ที่ประกอบการจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ ร้านอาหาร ร้านแผงลอย ในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ ในช่วงเดือนตุลาคม 2553 ถึงเดือนมกราคม 2553 จำนวน 132 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลโดย วิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงอุปนัย (Inductive Analysis) สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย (X̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการศึกษาพบว่า: 1.การรับรู้สารปนเปื้อนตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการอยู่ในระดับปานกลาง 2.แนวทางการลดสารปนเปื้อนตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการ ได้แก่ กรรมการตลาดสดเทศบาลควรหมั่นตรวจตราการจัดวางสินค้าให้ปลอดภัย การจัดวางสินค้าให้ปลอดภัยจากพาหะของเชื้อโรค และมีอุปกรณ์ป้องกันสินค้า ไม่ให้เบื้องแต่และออง จัดให้ความรู้ในด้านกระบวนการเลือกเพ็มสินค้าที่นำมาจำหน่าย จัดให้ความรู้แก่ผู้จำหน่ายสินค้าในด้านการหมั่นสังเกตสินค้าที่ผลิตหรือจำหน่าย จัดให้ความรู้ในด้านการศึกษาถึงแหล่งผลิตสินค้าที่จำหน่ายได้มาตรฐาน จัดอบรมผู้จำหน่ายหรือผู้ผลิตให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องสารพิษที่ปนเปื้อนในอาหาร จัดกิจกรรมรณรงค์ลดการใช้สารปนเปื้อนในอาหารในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ สร้างความตระหนักให้ผู้ผลิตหรือจำหน่ายผลิตอาหารได้สะอาดปลอดภัยจากเชื้อจุลินทรีย์ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายควรตรวจสอบสินค้าที่จำหน่ายอย่างสม่ำเสมอ จัดระบบและการจัดเก็บสินค้าให้ปลอดภัยจากสารปนเปื้อน จัดการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับสารปนเปื้อนโดยภาคราชการ ภาคราชการให้ข้อมูลจากสารเกี่ยวกับสารปนเปื้อนอย่างสม่ำเสมอ มีการกำกับดูแลเกี่ยวกับสารปนเปื้อนในอาหาร และควรมีการกำหนดโทษปรับสำหรับอาหารที่ปนเปื้อนเกินกว่ามาตรฐาน
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    ปัญหาและแนวทางตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเอง ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) ธีรวัฒน์ ถาวรโชติ; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาปัญหาและแนวทางการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างาน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 39 กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง Krejcie และ Morgan และสุ่มแบบแบ่งชั้นแยกแต่ละอำเภอ ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 246 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาการดำเนินงานตามมาตรฐานการบริหารงานแบบโรงเรียนเป็นฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษา 4 มาตรฐาน ได้แก่ 1) มาตรฐานอิสระและศักยภาพในการบริหารจัดการด้านวิชาการ 2) มาตรฐานอิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล 3) มาตรฐานมีอิสระในการบริหารจัดการการเงิน และ 4) มาตรฐานอิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป จำนวน 47 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 1.ปัญหาการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษา โดยภาพรวมพบว่า มีปัญหา อยู่ในระดับน้อยที่สุด ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาปัญหาการดำเนินงานรายมาตรฐาน ทั้ง 4 มาตรฐาน ก็พบว่า มาตรฐานที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ มาตรฐานที่ 2 อิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล มีปัญหาอยู่ในระดับน้อย และมาตรฐานที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ มาตรฐานที่ 4 อิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป มีปัญหาอยู่ในระดับน้อย 2. แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 39 2.1 แนวทางในมาตรฐานที่ 1 อิสระและศักยภาพในการบริหารจัดการด้านวิชาการ โรงเรียนควรส่งเสริมให้ครูผู้สอนวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล รายชั้นเรียน และโรงเรียน เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพ และกำหนดโครงการกิจกรรม/กิจกรรมการพัฒนา กำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวง มีการแต่งตั้งคณะกรรมการรับผิดชอบในการดำเนินงาน มีการนิเทศติดตาม ตรวจสอบผลการดำเนินงานโดยใช้การประเมินผลสัมฤทธิ์และผลการพัฒนา กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างเป็นระบบ และสรุปและรายงานผล เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนา 2.2 แนวทางในมาตรฐานที่ 2 อิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล โรงเรียนควรมีการจัดทำแผนอัตรากำลังของโรงเรียน โดยคำนึงถึงความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จัดส่งบุคลากรเข้ารับการพัฒนาความสามารถให้สอดคล้องกับความต้องการและงานที่รับผิดชอบ จัดให้ผู้สอนสอนให้ตรงกับวิชาเอก และกำหนดแผนการพัฒนาบุคลากรเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงาน สรุปประเมินและติดตามผลการปฏิบัติงานของบุคลากร และรายงานผลการดำเนินงาน 2.3 แนวทางในมาตรฐานที่ 3 มีอิสระในการบริหารจัดการเงิน แต่งตั้งคณะกรรมการทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีการรายงานผลเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ และรายงานต่อสาธารณชน 2.4 แนวทางในมาตรฐานที่ 4 อิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป จัดระบบสารสนเทศเพื่อใช้ในการบริหารจัดการภายในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับระบบฐานข้อมูลของเขตพื้นที่ สามารถที่จะเชื่อมโยงไปยังสถานศึกษาอื่นๆ มีการประสานและสัมพันธ์ชุมชนโดยการนำเสนอและเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหาร การบริการประชาสัมพันธ์เชิงรุกแก่สาธารณชน และให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วน บริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน และสรุปและนำข้อมูลมาใช้เพื่อพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการประสานงานต่อไป
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    ผลของการสอนแบบ SSCS ที่มีต่อความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาและเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) อิศราวุฒ ส้มซ่า; บุญรักษ์ ตัณฑ์เจริญรัตน์
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการสอนแบบ SSCS กับเกณฑ์ร้อยละ 60 ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา และศึกษาเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการสอนแบบ SSCS โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านหนองหัวบัว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต 1 ปีการศึกษา 2549 จำนวน 25 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่แผนการจัดการเรียนรู้การสอนแบบ SSCS แบบสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาการบวกและการลบแบบเติมคำตอบ และแบบวัดเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการทดสอบค่าที่ (t – test แบบ One Sample Test) ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนแบบ SSCS มีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบ SSCS มีเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์อยู่ในระดับดี
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การผลิตผงกล้าเชื้อ Bacillus subtilis TN51 เพื่อใช้หมัก ถั่วเหลือง
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2558) จักรกฤษ แจ่มจันทร์; เกตุการ ดาจันทา; ปิยวรรณ ศุภวิทิตพัฒนา
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการผลิตผงกล้าเชื้อ Bacillus subtilis TN51 สำหรับหมักถั่วเหลืองหมัก (ถั่วเน่า) โดยศึกษาอาหารเลี้ยงเชื้อเพื่อเพิ่มจำนวนเชื้อ B. subtilis ในเบื้องต้น และศึกษาอุณหภูมิในการบ่มเพาะเชื้อ กระบวนการผลิตผงกล้าเชื้อที่เหมาะสม และอายุการเก็บรักษาผงกล้าเชื้อ ผลจากการผลิตผงกล้าเชื้อพบว่าอาหารเลี้ยงเชื้อสูตรพื้นฐานที่เติมแป้งสาลีร้อยละ 40 (w/w) ช่วยเพิ่มจำนวน total viable count (TVC) และ spore count (SPC) หลังการบ่มที่อุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียส นาน 24 ชั่วโมง การเติมแป้งสาลีที่ผ่านการฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งความดันไอช่วยเพิ่มปริมาณกล้าเชื้อได้ดีกว่าการเติมแป้งสาลีที่ผ่านการอบจากตู้อบลมร้อน หลังการอบแห้งแป้งหมักกล้าเชื้อในตู้อบลมร้อนและบดให้เป็นผงละเอียดได้ผงกล้าเชื้อที่มีสปอร์จำนวน 7.71 log CFU/g และมีค่า water activity ต่ำกว่า 0.6 หลังการเก็บรักษาผงกล้าเชื้อในถุงพลาสติกใสและอลูมิเนียมฟอยส์ที่อุณหภูมิ 37 หรือ 4 องศาเซลเซียส นาน 90 วัน พบการเหลือรอดของสปอร์อยู่ในช่วงร้อยละ 72 – 83 สำหรับการหมักถั่วเน่าด้วยการเติมผงกล้าเชื้อที่ผลิตได้ลงในถั่วเหลืองดิบลูก (BTN) และถั่วเหลืองที่นึ่งสุกด้วยหม้อนึ่งความดันไอ (ATN) ในปริมาณร้อยละ 0.1 (w/w) และบ่มที่อุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียส นาน 24 ชั่วโมง และหมักถั่วเน่าแบบพื้นบ้าน (CTN) เป็นชุดควบคุม ผลการศึกษา พบว่า ถั่วเน่า ATN มีการเพิ่มขึ้นของ TVC, SPC, ค่า pH, น้ำตาลรีดิวซ์และน้ำตาลทั้งหมดสูงกว่าถั่วเน่า BTN และ CTN นอกจากนี้ยังตรวจพบการปนเปื้อนของเชื้อยีสต์และรา, E. coli, S. aureus และ B. cereus ในปริมาณต่ำอีกด้วย
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาสภาพการดำเนินงานการส่งเสริมความมีวินัย ในตนเองของนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2558) เดือนเพ็ญ ไชยพรพัฒนา; ณิรดา เวชญาลักษณ์
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการกำหนดนโยบายแนวทางการดำเนินงาน 2) ด้านการจัดการเรียนการสอน และ 3) ด้านการจัดกิจกรรมนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 31 คน และครู จำนวน 201 คน รวม 232 คน โดยเลือกผู้บริหารสถานศึกษาทั้งหมดและการสุ่มแบบชั้นภูมิ โดยกำหนดสัดส่วนตามสถานศึกษาของครู สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร ในแต่ละสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาสภาพการดำเนินงานการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร ภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการจัดกิจกรรมนักเรียน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการกำหนดนโยบายแนวทางการดำเนินงาน
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสุขในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2ระหว่างการสอนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT และการสอนแบบปกติ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) สายชล วนาธรัตน์; ชนม์ชกรณ์ วรอินทร์; จุมพต ขำวีระ
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่รับการสอนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 4MAT กับการสอนปกติ และเพื่อศึกษาระดับความสุขในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่รับการสอนโดยใช้ วัฏจักรการเรียนรู้ 4MAT โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนในเรื่องการแปรผัน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย ใช้หน่วยการสุ่มเป็นห้อง ใช้วิธีการ สุ่มอย่างง่ายมาจำนวน 2 ห้อง และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายอีกครั้ง โดบจับฉลากเพื่อกำหนดเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการสอนโดยใช้วัฏจักร การเรียนรู้ 4MAT แผนการสอนแบบปกติ แบบวัดผลสัมฤทธิ์หทางการเรียนและแบบวัดความสุขในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (x) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่าที่ (t –test Independent) ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 4MAT สูงกว่าการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลการศึกษาความสุขในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่รับการสอนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 4MAT พบว่าระดับความสุขในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังจากที่ได้รับการสอนโดยวัฏจักรการเรียนรู้ 4MAT มีระดับความสุขในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับปานกลาง