มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/128

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 9 of 9
  • รายการ
    ความรับผิดจากการใช้ดุลพินิจในการออกคำสั่งลงโทษทางวินัยเจ้าหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย : ศึกษากรณีมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) พิธาน แสงสุริยัน; พิชญา เหลืองรัตนเจริญ; กานดิศ ศิริสานต์
    วิทยานิพนธ์นี้ศึกษาความรับผิดทางกฎหมายของผู้บังคับใช้กฎหมายในบริบทขององค์กรในมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย โดยเน้นความสำคัญของอำนาจดุลพินิจ เนื่องจากกฎหมายภายในไม่สามารถบัญญัติให้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ การให้อำนาจดุลพินิจแก่เจ้าหน้าที่รัฐจึงจำเป็น เพื่อปรับใช้กฎหมายอย่างยืดหยุ่นและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงเฉพาะราย โดยเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้อำนาจโดยปราศจากการแทรกแซง เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายและสร้างความยุติธรรมเฉพาะกรณี การใช้ดุลพินิจที่บิดเบือนอำนาจต่างจากการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบทั่วไป คือ การใช้ดุลพินิจทำนิติกรรมทางปกครองโดยไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อบรรลุประโยชน์ส่วนตัวหรือประโยชน์มหาชนอื่นที่กฎหมายไม่ได้กำหนด หากมีเจตนาทุจริตหรือมุ่งร้าย การใช้อำนาจดังกล่าวถือว่าร้ายแรงและอาจมีความรับผิดทางอาญา ตามหลักการของอังกฤษและฝรั่งเศส อย่างไรก็ดี การกำหนดความรับผิดทางอาญาจากการใช้อำนาจดุลพินิจโดยมิชอบเป็นเรื่องยุ่งยาก เนื่องจากต้องค้นหาเจตนาของผู้กระทำและมูลเหตุจูงใจที่แท้จริง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายในของความผิดทางอาญา ต้องอาศัยพยานหลักฐานหลายอย่าง นอกจากนี้ ปัจจัยด้านกฎหมายอาญาสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติ รวมถึงการตีความของศาล ก็มีส่วนสำคัญในการดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่รัฐผู้ใช้อำนาจดุลพินิจ
  • รายการ
    การกระทำความผิดของเด็ก : ศึกษากรณีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 74
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ประภาพร สมพร; พิชญา เหลืองรัตนเจริญ
    เหตุการณ์ในปัจจุบันที่มีการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนที่มีความรุนแรงเทียบเท่ากับการกระทำความผิดของผู้ใหญ่หรือเป็นการกระทำความผิดซ้ำซากของอาชญากรวัยเด็กที่ร้ายแรงต่อสังคมและเป็นภัยสังคมในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ดังนั้นกฎหมายประเทศไทยในปัจจุบันจึงไม่สอดคล้องกับการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนเพราะไม่มีการพัฒนาในมาตรการการกระทำความผิดของเด็กที่รุนแรงขึ้น และมาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวมุ่งเน้นคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนที่เป็นกฎหมายเฉพาะในการใช้มาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนนี้เหมาะสำหรับการกระทำความผิดที่เล็กน้อยเพราะกฎหมายมุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนกลับตัวใหม่เป็นคนดีคืนสู่สังคม ดังนั้นการที่เด็กและเยาวชนที่เป็นอาชญากรที่กระทำความผิดร้ายแรงหรือกระทำความผิดที่เสมือนการกระทำความผิดแบบผู้ใหญ่ที่ย่อมเล็งเห็นผลว่าการกระทำที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงแบบอาชญากรและเป็นภัยสังคมอย่างมากดังเหตุการข่าวในปัจจุบันที่เด็กอายุ 14 กราดยิงกลางห้างสรรพสินค้าพารากอน และคดีเด็กและเยาวชนอายุเพียง 13-16 ปีวางแผนข่มขืนและฆ่าตกรรมป้ากบหรือป้าบัวผัน เหตุการณืเช่นนี้กลับเป็นการกระทำความผิดของเด็กทั้งสิ้นควรลงโทษหรือมีมาตรการสำหรับการกระทำที่ร้ายแรงเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ดี การลงโทษที่ใช้มาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนในปัจจุบันมันล่าสมัยเกินกว่าจะนำมาปรับใช้ในการปัจจุบัน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศในกระบวนการดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนในระบบกฎหมาย Common law Civil law และคอมมิวนิสต์ ที่มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจุบันหมดแล้ว และนี้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนแก้ไขของไทยที่ผู้เขียนเห็นว่าควรมีมาตรการสำหรับการลงโทษอาชญากรที่กระทำความผิดซ้ำซากและร้ายแรงส่งผลให้เป็นภัยสังคมอย่างยิ่งโดยเปรียบเทียบในหลักเกณฑ์อายุ โทษที่จะได้รับ และฐานความผิดที่สมควรลงโทษเพื่อประโยชน์ของประเทศที่กระบวนการดำเนินคดีอาญาที่เป็นไปในทางพัฒนาและสามารถลงโทษตามความเหมาะสมอย่างแท้จริง เพื่อเหยื่อหรือผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนนั้นที่เหมาะสมและถูกต้องอย่างเป็นธรรม
  • รายการ
    ปัญหาการกระทำผิดพระวินัยของพระภิกษุกรณีเสพเมถุนเปรียบเทียบกับความผิดทางอาญาเกี่ยวกับเพศ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ณัฎฐปีญา แครบทรี; อภิชาติ บวบขม
    การวิจัยเรื่อง ปัญหาการกระทำผิดพระวินัยว่าด้วยกรณีเสพเมถุนของพระภิกษุเปรียบเทียบกับความผิดทางอาญาเกี่ยวกับเพศ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา ความเป็นมา แนวคิด ทฤษฎีกระทำผิดพระวินัยของ พระภิกษุกรณี เสพเมถุน เพื่อศึกษา วิเคราะห์เปรียบเทียบกระทำผิดพระวินัยของพระภิกษุกรณีเสพเมถุนกับการกระทำความผิดอาญาเกี่ยวกับเพศของกฎหมายต่างประเทศ และเพื่อศึกษาปัญหาผลกระทบของการบังคับใช้กฎหมายกับพระธรรมวินัยข้อเสพเมถุนผู้วิจัยกำหนดวิธีการดำเนินการศึกษาเปรียบเทียบ การวิจัยในครั้งนี้ คือ พระภิกษุเป็นบุคคลที่ทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นสาวกที่ทำหน้าที่สืบทอด พระพุทธศาสนา ภิกษุจึงอยู่ในฐานะสูงที่ควรแก่การสักการะสมควรต้องประพฤติตนอยู่ใน พระธรรมวินัย เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนทั่วไป การที่พระภิกษุต้องอาบัติปาราชิก (สิกขาบท 1) หรือผิดฐานเสพเมถุนจึงต้องรับผิดกฎหมายทางธรรมควบคู่กับกฎหมายทางโลก (กฎหมายบ้านเมืองกฎหมายอาญา) เพื่อเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนาควบคู่กับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสังคมแต่ปัจจุบัน (ข) พบว่าบทลงโทษของภิกษุที่อาบัติปาราชิก (สิกขาบท 1) ยังไม่เป็นที่ยอมรับ ดังเห็นได้จาก มาตรา 276 คุณธรรมทางกฎหมายมุ่งคุ้มครองเสรีภาพของบุคคลต้องมีการบังคับกระทำชำเราโดยปราศจากความยินยอม หากผู้ถูกกระทำ ยินยอมเท่ากับเป็นการสละคุณธรรมทางกฎหมาย ซึ่งตามมาตราดังกล่าวสามารถสละคุณธรรมทางกฎหมายได้ เมื่อสละคุณธรรมทางกฎหมายแล้วผู้กระทำก็ไม่มีความผิดฐานข่มขืนตามมาตรา 276
  • รายการ
    การคุ้มครองสิทธิของผู้พ้นโทษ : ศึกษากรณีการมีงานทำในหน่วยงานภาครัฐ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) พีรดนย์ ปราบต์พีรดนย์; พิชญา เหลืองรัตนเจริญ
    การวิจัยเรื่องการคุ้มครองสิทธิของผู้พ้นโทษ : ศึกษากรณีการมีงานทำในหน่วยงาน ภาครัฐ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาถึงความเป็นมา แนวคิด ทฤษฎี หลักกฎหมายการคุ้มครองและสงเคราะห์ผู้พ้นโทษ และข้อบังคับในการช่วยเหลือผู้พ้นโทษภายหลังการปล่อยตัวออกจากเรือนจำให้มีงานทำและมีสิทธิในการสมัครรับราชการ และเพื่อศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบ หลักกฎหมาย หลักเกณฑ์การคุ้มครองและสงเคราะห์ผู้พ้นโทษ ในการช่วยเหลือผู้พ้นโทษภายหลังการปล่อยตัวออก จากเรือนจำให้มีงานทำและมีสิทธิในการสมัครรับราชการของประเทศไทยกับหลักกฎหมายหลักเกณฑ์ ของต่างประเทศ ผู้วิจัยกำหนดวิธีการดำเนินการศึกษาการวิจัยในครั้งนี้ คือ จำนวนผู้พ้นโทษในแต่ละปีมีเป็นจำนวนมาก ผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวเมื่อจำคุกตามคำ พิพากษาครบกำหนดจากเรือนจำเฉลี่ยแล้วปีละประมาณ แสนกว่าคน (หรือเดือนละประมาณ 10,000 คน) และบางปียังมีการปล่อยตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษเนื่องในโอกาสมหามงคลพิเศษตามวาระต่าง ๆ ก็จะมีผู้พ้นโทษออกมากกว่าในปีปกติ อีกทั้งยังมีผู้พ้นโทษที่พ้นจากระบบการคุมความประพฤติซึ่งมีทั้งผู้ ได้รับพักการลงโทษและลดวันต้องโทษ รวมถึงเด็กและเยาวชนที่ออกมาจากสถานพินิจและคุ้มครอง เด็กและเยาวชน แต่ที่สำคัญมักจะปรากฏข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าผู้พ้นโทษบางส่วน ได้กลับไปกระทำผิดซ้ำเมื่อถูกปล่อยตัวไปไม่นาน สาเหตุหนึ่งเกิดจากผู้พ้นโทษเหล่านี้ ไม่สามารถประกอบอาชีพ สุจริตได้ เพราะถูกปฏิเสธการจ้างงานทั้งในภาครัฐและเอกชนเนื่องด้วยเคยติดคุกและมีประวัติอาชกรรม จึงทำให้เกิดการกระทำความผิดซ้ำในกลุ่มผู้พ้นโทษ
  • รายการ
    การเยียวยาความเสียหายแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐจากการลงโทษทางวินัยร้ายแรงโดยคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย: ศึกษากรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) อัจฉราวดี แก้วพันธ์; พิชญา เหลืองรัตนเจริญ
    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการที่ใช้ในการเยียวยาความเสียหายที่เกิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเนื่องมาจากการลงโทษทางวินัยร้ายแรงและไม่ชอบด้วยกฎหมายที่กำหนดโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมุ่งวิเคราะห์การกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การชดเชยเยียวยาแก่เจ้าหน้าที่ที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงโดยมิชอบด้วยกฎหมายอย่างมีประสิทธิผล การระบุหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือกระบวนการดังกล่าวพยายามที่จะส่งเสริมความเป็นธรรมและความเสมอภาคในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษ ขณะเดียวกันก็ให้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งท้ายที่สุดจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวม วิธีการศึกษาประกอบด้วยสองส่วนที่แตกต่างกัน ส่วนแรกเป็นการศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับอำนาจและความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งคำสั่งทางปกครอง การเพิกถอนคำสั่ง การดำเนินการทางวินัยแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ความรับผิดของรัฐ และแนวทางการชดเชยเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่วนต่อมาเป็นศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบหลักเกณฑ์และวิธีการที่ใช้ในการแก้ไขความเสียหายอันเป็นผลจากการลงโทษทางวินัยที่ไม่เป็นธรรม ทั้งภายใต้กฎหมายไทยและกรอบกฎหมายต่างประเทศ โดยการดำเนินการศึกษานี้ในต่างประเทศ เรามุ่งหวังที่จะได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และบทบัญญัติทางกฎหมายที่ครอบคลุมการเยียวยาความเสียหายในกรณีดังกล่าว ผลการศึกษาพบว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงจากคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะต้องได้รับความสูญเสียทั้งทางการเงินและไม่ใช่ทางการเงิน รวมถึงสูญเสียผลประโยชน์ด้วย สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่ารัฐจะชดเชยเยียวยาความเสียหายดังกล่าวอย่างไร ปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังขาดกฎหมายหรือกฎเกณฑ์เฉพาะที่กำหนดวิธีการและรายละเอียดการชดเชยเยียวยาให้กับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ การขาดความชัดเจนนี้เป็นอุปสรรคต่อความสามารถของรัฐในการรับรองความเป็นธรรม สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงโดยมิชอบกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ สำนักงาน ก.พ. ได้ออกระเบียบที่กำหนดกระบวนการเยียวยาชดเชยสำหรับผู้อุทธรณ์และผู้ร้องเรียนไว้อย่างชัดเจน ซึ่งรวมถึงบทบัญญัติบังคับเพื่อชดเชยเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัย หลักเกณฑ์และวิธีการที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูเยียวยาผู้ถูกลงโทษให้กลับสู่ตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่าในหน่วยงานของรัฐ ดังนั้น เพื่อให้การชดเชยเยียวยาที่เหมาะสมแก่ข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่นที่ถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง จึงจำเป็นต้องจัดทำกรอบที่ครอบคลุมแนวปฏิบัติจากต่างประเทศและระเบียบ ก.พ.ค.ว่าด้วยการเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้อุทธรณ์และผู้ร้องทุกข์ หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม พ.ศ. 2565 โดยยึดหลักความยุติธรรม ทำให้เราสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และการเยียวยากรณีต่าง ๆ แก่ผู้อุทธรณ์และผู้ร้องเรียนได้ การพิจารณาสิทธิของเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกลงโทษทางวินัย และกำหนดกฎเกณฑ์หรือกฎหมายที่สนับสนุนสิทธิในการได้รับการเยียวยาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นเราจึงเสนอให้มีการออกกฎระเบียบภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะสรุปหลักเกณฑ์และวิธีการเฉพาะในการแก้ไขเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง กรอบนี้ควรให้ความชัดเจนและแน่นอนเกี่ยวกับผลประโยชน์และค่าชดเชยที่ควรจัดสรร และ การเยียวยาในด้านต่าง ๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัย จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาและเยียวยาความเสียหายของข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่นที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • รายการ
    สถานะความเป็นเงินตราตามกฎหมายของเงินดิจิทัลที่ออกโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) จุฑารัตน์ แก้วพันธ์; อภิชาติ บวบขม
    นวัตกรรมในการชำระเงินดิจิทัลได้กระตุ้นให้ธนาคารกลางหลายแห่งสนใจศึกษาและพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) เชื่อกันว่า CBDC จะเป็นก้าวต่อไปในวิวัฒนาการของเงิน เนื่องจากมีการศึกษาจากหลายประเทศเป็นจำนวนมากได้แสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบที่สำคัญของการใช้สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เพื่อทำหน้าที่เป็นเงินตรา CBDC จะต้องเข้าถึงบทบาทพื้นฐานของเงิน ทฤษฎีสถานะของเงิน วิทยานิพนธ์นี้กล่าวถึงทฤษฎีความเป็นเงินตราของรัฐกับ CBDC ในฐานะเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในการวิเคราะห์พื้นฐานทางกฎหมายของ CBDC ในกรอบกฎหมายมหาชนภายใต้กฎหมาย พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 และ พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 การขาดรากฐานทางกฎหมายที่ชัดเจนในการออก CBDC เป็นปัญหาทางกฎหมาย อันก่อให้เกิดความเสี่ยงทางด้านการเงิน และความน่าเชื่อถือสำหรับธนาคารแห่งประเทศไทย โดยทำการศึกษาเรื่องเงินในฐานะเงินตราที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย หลังจากวิเคราะห์ทฤษฎีเหล่านี้แล้ว สามารถสรุปข้อสรุปทั่วไปบางประการได้ดังนี้ ประการแรกพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยฯ ในปัจจุบันไม่อนุญาตให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการออก CBDC แก่ประชาชนทั่วไป ประการที่สอง จากบทบัญญัติของพระราชบัญญัติเงินตราฯ ไม่ได้นิยามสถานะ “สกุลเงิน” ให้สามารถรวมถึง CBDC และไม่ได้ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยในการออกใช้ CBDC ซึ่งจะนำเสนอการวิเคราะห์ทางกฎหมายเบื้องต้นของ CBDC โดยเปรียบเทียบจากมุมมองทางกฎหมายต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศบาฮามาส จาเมกา และจีน เพื่อสรุปว่าแนวคิดของ CBDC ในฐานะเงินและการเป็นสื่อกลางในการชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย รวมทั้งเสนอแนะแนวคิดเรื่องเงินภายใต้ทฤษฎีสถานะของเงิน และสามารถทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการชำระหนี้ตามกฎหมายได้ โดยการนำทฤษฎีนี้ไปใช้กับ CBDC และสมมติว่า CBDC ถูกใช้เป็นสื่อกลางในการชำระหนี้ตามกฎหมาย รัฐควรมีบทบัญญัติทางกฎหมายเพื่อจัดทำ CBDC ให้มีฐานะเป็นเงินตราที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและการชำระหนี้ตามกฎหมายที่ถูกต้อง เพื่อให้แน่ใจได้ว่าเมื่อมีการออกใช้ CBDC การออก การจัดทำ และการจัดการ CBDC นั้นถูกต้องตามกฎหมาย
  • รายการ
    หน้าที่และอํานาจในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตํารวจศาล
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ชนัญชิดา เทียมใจ; กานดิศ ศิริสานต์
    การวิจัยเรื่องมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวข้องกับหน้าที่และอำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจศาล และการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานตำรวจศาล 2) วิเคราะห์เปรียบเทียบระบบโครงสร้างเจ้าพนักงานตำรวจศาลไทยกับต่างประเทศ และ 3) เสนอแนะแนวทางการปัญหาเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย และระบบโครงสร้างของเจ้าพนักงานตำรวจศาล ดำเนินการวิจัยตามรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ จากการวิจัยเอกสาร วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการสร้างข้อสรุป ผลการวิจัยพบว่า ตำรวจศาล ในประเทศไทยเป็นข้าราชการศาลยุติธรรม ซึ่งแต่งตั้งโดยเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัย ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในบริเวณศาล รักษาความปลอดภัยแก่ข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม บุคลากร ทรัพย์สิน และอาคารสถานที่ของศาลยุติธรรม รวมทั้งดำเนินการ เกี่ยวกับการจับกุมบุคคลที่หลบหนีการปล่อยชั่วคราวโดยศาล และบุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก หรือคำสั่งศาลและศาลได้ออกหมายจับแล้ว การที่ศาลมีบุคลากรที่บังคับใช้กฎหมายอยู่ในองค์กรของตัวเอง ซึ่งมีฐานะเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ในการจับกุมผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หลบหนีการปล่อยชั่วคราวหรือผู้ที่ศาลได้ออกหมายจับแล้ว ทำให้กระบวนการยุติธรรมและการดำเนินคดีของศาลเป็นไปอย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การใช้อำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของเจ้าพนักงานตำรวจศาลเกิดประโยชน์สูงสุด ก็ควรมีการปรับปรุงแก้ไข และเพิ่มเติมบทบัญญัติเจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ. 2562 ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นในกรณีเกี่ยวกับอำนาจในการจับกุมผู้ต้องหาหรือจำเลยของเจ้าพนักงานตำรวจศาลที่ถูกจำกัดไม่เทียบเท่ากับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
  • รายการ
    พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 ศึกษากรณีการดําเนินกระบวน พิจารณาคดีมรรยาททนายความ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) จุฑามาศ สุขหล่อ; กานดิศ ศิริสานต์
    วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นมาของทนายความ ความหมายของทนายความ บทบาทหน้าที่ของทนายความ จริยธรรมของทนายความ มรรยาททนายความ การลงโทษทนายความ การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีมรรยาททนายความของประเทศไทย การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีมรรยาททนายความของต่างประเทศ การใช้อำนาจหน้าที่ของสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ตามหลักนิติธรรม หลักธรรมของวิชาชีพทนายความ เพื่อวิเคราะห์ถึงปัญหาเกี่ยวกับปัญหาการริเริ่มคดีมรรยาททนายความโดยคณะกรรมการมรรยาททนายความ ปัญหาความล่าช้าในการดำเนินคดีมรรยาททนายความ ปัญหาอัตราโทษคดีมรรยาททนายความ ผลการวิจัยพบว่า การพิจารณาคดีมรรยาททนายความตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 ยังมีความไม่เหมาะสมและเป็นธรรมเท่าที่ควร ทั้งต่อผู้กล่าวหา และทนายความผู้ถูกกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นการริเริ่มคดีมรรยาททนายความโดยคณะกรรมการมรรยาททนายความ ทั้งที่คณะกรรมการมรรยาททนายความมีหน้าที่พิจารณาคดีมรรยาททนายความ รวมถึงมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดี ยกคำกล่าวหา สั่งลงโทษทนายความผู้ถูกกล่าวหา ความล่าช้าในการพิจารณาคดีมรรยาททนายความที่ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าคดีจะถึงที่สุด เพราะขั้นตอนในการพิจารณาคดีมรรยาททนายความมีหลายขั้นตอน และในบางขั้นตอนก็มิได้กำหนดกรอบระยะเวลาในการพิจารณาไว้ และอัตราโทษคดีมรรยาททนายความที่มีค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะโทษภาคทัณฑ์ซึ่งเป็นบทลงโทษขั้นเบาที่สุด ทนายความผู้ถูกลงโทษภาคทัณฑ์ยังสามารถทำการเป็นทนายความได้ แต่โทษดังกล่าวก็ส่งผลให้ ทนายความผู้ถูกลงโทษไม่สามารถที่จะเป็นทนายความอาสาหรือทนายความขอแรงได้
  • รายการ
    การพัฒนาชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สุจิตรา อิ่มกระจ่าง; เกสร กอกอง
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) ศึกษาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams 3) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยโรงเรียนวัดสุพรรณพนมทองก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ดำเนินการวิจัย 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ขั้นตอนที่ 2 การใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ซึ่งได้กลุ่มตัวอย่างมาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) จำนวน 14 คน ทดลองเป็นเวลา 3 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าคะแนนเฉลี่ย (x̄) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และ t-test (dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย และคู่มือการใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มีความเหมาะสมโดยรวมในระดับมาก (x̄ = 4.40) ซึ่งชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีความเหมาะสมในระดับมาก (x̄ = 4.38) และคู่มือการใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีความเหมาะสมในระดับมาก (x̄ = 4.43) มีประสิทธิภาพ ดังนี้ ชุดกิจกรรมที่ 1 = 83.07/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 2 = 85.19/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 3 = 86.24/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 4 = 82.01/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 5 = 84.39/80.95 2) เด็กปฐมวัยมีความคิดสร้างสรรค์โดยรวมในระดับมากที่สุด มีประสิทธิภาพร้อยละ 80.95 และ 3) เด็กปฐมวัยมีความคิดสร้างสรรค์หลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (x̄ = 7.29) สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (x̄ = 5.57) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05