คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/144
ค้นหา
35 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Project Based Learning ผ่านสังคมออนไลน์รายวิชาสารสนเทศทางสุขภาพสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) จิตศิริน ลายลักษณ์; กิ่งแก้ว สำรวยรื่น; บัญชา สำรวยรื่นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การประเมินองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดต่างๆ จากผักมะไห่และสมบัติการออกฤทธิ์ทางชีวภาพ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) กีรติ ตันเรือน; พิสิษฐ์ พูลประเสริฐผักมะไห่หรือผักไห่ (Momordica 'Ma Hai') เป็นพืชชนิดหนึ่งในวงศ์ Cucurbitaceae ที่สามารถรับประทานได้ โดยนิยมนำส่วนของยอดไปใช้เป็นอาหารอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตามพบว่ายังไม่มีการรายงานถึงองค์ประกอบทางเคมีและสมบัติทางชีวภาพของพืชชนิดนี้ ดังนั้นในงานวิจัยนี้จึงได้ตรวจสอบองค์ประกอบทางเคมี ฤทธิ์ด้านสารอนุมูลอิสระและฤทธิ์ด้านเชื้อจุลินทรีย์ของน้ำมันหอมระเหย สารสกัดเมทานอล อะซิโตนและเอทิลอะซิเตทของผักมะไห่ โดยน้ำมันหอมระเหยของผักมะไห่ได้จากการสกัดใบและก้านแห้งด้วยการกลั่นไอน้ำและแยกชั้นด้วยไดคลอโรมีเทนแล้วทำการระเหยไดคลอโรมีเทนออก ส่วนสารสกัดเมทานอล อะซิโตนและเอทิลอะซิเตทได้จากการนำตัวอย่างใบและก้านแห้งมาแช่ด้วยเมทานอล อะซิโตนหรือเอทิลอะซิเตท เป็นเวลา 12 ชั่วโมง จากนั้นนำมากรองและระเหยด้วยเครื่องกลั่นระเหยสุญญากาศ องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยวิเคราะห์ด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟีแมสสเปกโทรมทรี ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ทั้งหมดวิเคราะห์ด้วยวิธี folin-ciocalteu และ aluminium chloride colorimetric ตามลำดับ ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl (DPPH) scavenging และ Ferric reducing antioxidant power (FRAP) และทดสอบฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ก่อโรค 6 ชนิด (Bacillus cereus, B. subtilis, Candida albicans, Escherichia coli, Pseudomonas fluorescens และ Salmonella typhi) ด้วยวิธี paper disc-diffusion จากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่ด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟี–แมสสเปกโทรมทรีพบว่าน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่มีองค์ประกอบที่ระเหยได้ 7 ชนิด โดยพบ anethole ซึ่งเป็นสารให้กลิ่นในอุตสาหกรรมหลายชนิดเป็นองค์ประกอบหลัก และน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่ยังพบปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและสารประกอบฟลาโวนอยด์ทั้งหมดสูงที่สุด คือ 65.6 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัดและ 42.6 มิลลิกรัมสมมูลเคอเซทินต่อกรัมสารสกัด ตามลำดับ ขณะที่พบว่าสารสกัดเอทิลอะซิเตทมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดโดยมีค่าความเข้มข้นในการยับยั้งที่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่ากับ 0.95 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรและมีค่า FRAP value เท่ากับ 16.8 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัด นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดจากผักไห่มีความสามารถในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ทดสอบได้ทุกชนิด โดยน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ยับยั้งจุลินทรีย์ทดสอบได้ดีกว่าสารสกัดจากตัวทำละลายชนิดอื่น ดังนั้นสารสกัดจากผักไห่จึงมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเป็นสารให้กลิ่นและสารด้านเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารและเครื่องสำอางต่อไปในอนาคตรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ในรายวิชาสุขาภิบาลและการควบคุมคุณภาพอาหาร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) ศิริพร ศิริอังคณากุลรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาวิธีการติดตามประเมินผลโครงการบริการวิชาการของ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) มาลินี เห็มลารายการ การเข้าถึงแบบเปิด ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อะซิติลโคลีนเอสเทอเรสของสารสกัดจากยอบ้านเพื่อป้องกันโรคอัลไซเมอร์(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ภรภัทร ลำอางค์; ดามรัศมน สุรางกูร; อนงค์ ศรีโสภารายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์ข้อมูลการให้บริการเครื่องมือวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) วันเพ็ญ ตรงต่อกิจรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์การให้บริการห้องปฏิบัติการคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) มาลินี เห็มลารายการ การเข้าถึงแบบเปิด การใช้คู่มือปฏิบัติการเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ลักษณะประจำวงศ์และทักษะการจำแนกพืชดอก ในรายวิชาอนุกรมวิธานของพืช(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) กาญจนา ธนนพคุณรายการ การเข้าถึงแบบเปิด เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการเรียน เรื่องปริพันธ์หลายชั้นโดยใช้สื่อทางคอมพิวเตอร์กับการเรียนตามปกติในชั้นเรียน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) รัตนพร บ่อคำ; อุไรพรรณ บุญคงการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสื่อทางคอมพิวเตอร์ วิชาแคลคูลัสและเรขาคณิตวิเคราะห์ 3 เรื่องปริพันธ์หลายชั้น และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนวิชาแคลคูลัสและเรขาคณิตวิเคราะห์ 3 เรื่องปริพันธ์หลายชั้น โดยใช้สื่อทางคอมพิวเตอร์กับการเรียนการสอนตามปกติในชั้นเรียนนอกจากนี้ยังศึกษาทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนโดยใช้สื่อทางคอมพิวเตอร์อีกด้วย เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาการขาดแคลนผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันค่อนข้างเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้คือ นักศึกษาที่เรียนวิชา 4093401 แคลคูลัสและเรขาคณิตวิเคราะห์ 3 ระดับปริญญาตรี ปีที่ 2 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 โปรแกรมวิชาคณิตศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จำนวน 14 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือสื่อทางคอมพิวเตอร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยใช้โปรแกรม Microsoft Producer แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แบบฝึกหัดเพิ่มเติมระหว่าเรียน แบบสอบถามเพื่อวัดทัศนคติการใช้สื่อการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การหาค่าเฉลี่ยและหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า สื่อการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์มาตรฐาน E1 : E2 = 75 : 75 โดยค่าเบี่ยงเบนได้ ±5% เมื่อ E1 เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนนจากแบบฝึกหัดระหว่าเรียน E2 เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏมีทัศนคติต่อการเรียนโดยใช้สื่อทางคอมพิวเตอร์ในด้านเนื้อหาในระดับมาก มีทัศนคติด้านการนำเสนอในระดับมาก นอกจากนี้จากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเยนของนักศึกษาที่เรียนวิชาแคลคูลัสและเรขาคณิตวิเคราะห์ 3 เรื่องปริพันธ์หลายชั้น โดยใช้สื่อทางคอมพิวเตอร์ กับการเยนปกติในชั้นเรียน พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 เพื่อมห้การแก้ปัญหาขาดแคลนผู้สอนดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้นจึงควรมีการวิจัยเพิ่มเติม โดยขยายเนื้อหาให้ครอบคลุมทั้งรายวิชาให้สมบูรณ์รวมถึงการวิจัยในลักษณะนี้ในรายวิชาคณิตศาสตร์อื่นๆด้วยรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาสภาวะเริ่มต้นที่เหมาะสมของการผลิตแก๊สมีเทนจากลิกโนเซลลูโลสร่วมระหว่างมูลแพะและฟางข้าวโดยกลุ่มจุลินทรีย์ไร้อากาศภายใต้สภาวะการหมักแบบกะโดยวิธี Response Surface Methodology(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) ทวี ค้ำภิลานน; สุขสมาน สังโยคะ; จักรกฤช ศรีละอองานวิจัยครั้งนี้มีแนวคิดที่จะนำฟางข้าวซึ่งเป็นวัสดุเหลือทิ้งจากการผลิตข้าวและมูลแพะมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตแก๊สมีเทนภายใต้สภาวะไร้อากาศ โดยออกแบบการทดลองโดยวิธีการตอบสนองต่อพื้นที่ผิว (Response Surface Methodology; RSM) แบบ Central Composite Design (CCD) เพื่อศึกษาสภาวะเริ่มต้นที่เหมาะสมในการผลิตแก๊สมีเทนจากฟางข้าวร่วมกับมูลแพะภายใต้กระบวนการหมักแบบกะ ปัจจัยที่ศึกษาประกอบด้วยอัตราส่วนของคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C/N ratio) และค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) จากการศึกษาพบว่า อัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจนที่เหมาะสมต่อการผลิตมีเทนเท่ากับ 25.59 และค่าความเป็นกรด-ด่างที่เหมาะสมเท่ากับ 7.19 โดยให้ผลได้ของแก๊สมีเทนเท่ากับ 80.68 มิลลิลิตรต่อกรัมซีโอดีที่ลดลง (mL/g-COD-removal)