คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/144

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 10 of 27
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การประเมินองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดต่างๆ จากผักมะไห่และสมบัติการออกฤทธิ์ทางชีวภาพ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) กีรติ ตันเรือน; พิสิษฐ์ พูลประเสริฐ
    ผักมะไห่หรือผักไห่ (Momordica 'Ma Hai') เป็นพืชชนิดหนึ่งในวงศ์ Cucurbitaceae ที่สามารถรับประทานได้ โดยนิยมนำส่วนของยอดไปใช้เป็นอาหารอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตามพบว่ายังไม่มีการรายงานถึงองค์ประกอบทางเคมีและสมบัติทางชีวภาพของพืชชนิดนี้ ดังนั้นในงานวิจัยนี้จึงได้ตรวจสอบองค์ประกอบทางเคมี ฤทธิ์ด้านสารอนุมูลอิสระและฤทธิ์ด้านเชื้อจุลินทรีย์ของน้ำมันหอมระเหย สารสกัดเมทานอล อะซิโตนและเอทิลอะซิเตทของผักมะไห่ โดยน้ำมันหอมระเหยของผักมะไห่ได้จากการสกัดใบและก้านแห้งด้วยการกลั่นไอน้ำและแยกชั้นด้วยไดคลอโรมีเทนแล้วทำการระเหยไดคลอโรมีเทนออก ส่วนสารสกัดเมทานอล อะซิโตนและเอทิลอะซิเตทได้จากการนำตัวอย่างใบและก้านแห้งมาแช่ด้วยเมทานอล อะซิโตนหรือเอทิลอะซิเตท เป็นเวลา 12 ชั่วโมง จากนั้นนำมากรองและระเหยด้วยเครื่องกลั่นระเหยสุญญากาศ องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยวิเคราะห์ด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟีแมสสเปกโทรมทรี ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ทั้งหมดวิเคราะห์ด้วยวิธี folin-ciocalteu และ aluminium chloride colorimetric ตามลำดับ ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl (DPPH) scavenging และ Ferric reducing antioxidant power (FRAP) และทดสอบฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ก่อโรค 6 ชนิด (Bacillus cereus, B. subtilis, Candida albicans, Escherichia coli, Pseudomonas fluorescens และ Salmonella typhi) ด้วยวิธี paper disc-diffusion จากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่ด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟี–แมสสเปกโทรมทรีพบว่าน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่มีองค์ประกอบที่ระเหยได้ 7 ชนิด โดยพบ anethole ซึ่งเป็นสารให้กลิ่นในอุตสาหกรรมหลายชนิดเป็นองค์ประกอบหลัก และน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่ยังพบปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและสารประกอบฟลาโวนอยด์ทั้งหมดสูงที่สุด คือ 65.6 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัดและ 42.6 มิลลิกรัมสมมูลเคอเซทินต่อกรัมสารสกัด ตามลำดับ ขณะที่พบว่าสารสกัดเอทิลอะซิเตทมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดโดยมีค่าความเข้มข้นในการยับยั้งที่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่ากับ 0.95 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรและมีค่า FRAP value เท่ากับ 16.8 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัด นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดจากผักไห่มีความสามารถในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ทดสอบได้ทุกชนิด โดยน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ยับยั้งจุลินทรีย์ทดสอบได้ดีกว่าสารสกัดจากตัวทำละลายชนิดอื่น ดังนั้นสารสกัดจากผักไห่จึงมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเป็นสารให้กลิ่นและสารด้านเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารและเครื่องสำอางต่อไปในอนาคต
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อะซิติลโคลีนเอสเทอเรสของสารสกัดจากยอบ้านเพื่อป้องกันโรคอัลไซเมอร์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ภรภัทร ลำอางค์; ดามรัศมน สุรางกูร; อนงค์ ศรีโสภา
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการเรียน เรื่องปริพันธ์หลายชั้นโดยใช้สื่อทางคอมพิวเตอร์กับการเรียนตามปกติในชั้นเรียน
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) รัตนพร บ่อคำ; อุไรพรรณ บุญคง
    การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสื่อทางคอมพิวเตอร์ วิชาแคลคูลัสและเรขาคณิตวิเคราะห์ 3 เรื่องปริพันธ์หลายชั้น และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนวิชาแคลคูลัสและเรขาคณิตวิเคราะห์ 3 เรื่องปริพันธ์หลายชั้น โดยใช้สื่อทางคอมพิวเตอร์กับการเรียนการสอนตามปกติในชั้นเรียนนอกจากนี้ยังศึกษาทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนโดยใช้สื่อทางคอมพิวเตอร์อีกด้วย เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาการขาดแคลนผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันค่อนข้างเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้คือ นักศึกษาที่เรียนวิชา 4093401 แคลคูลัสและเรขาคณิตวิเคราะห์ 3 ระดับปริญญาตรี ปีที่ 2 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 โปรแกรมวิชาคณิตศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จำนวน 14 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือสื่อทางคอมพิวเตอร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยใช้โปรแกรม Microsoft Producer แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แบบฝึกหัดเพิ่มเติมระหว่าเรียน แบบสอบถามเพื่อวัดทัศนคติการใช้สื่อการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การหาค่าเฉลี่ยและหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า สื่อการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์มาตรฐาน E1 : E2 = 75 : 75 โดยค่าเบี่ยงเบนได้ ±5% เมื่อ E1 เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนนจากแบบฝึกหัดระหว่าเรียน E2 เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏมีทัศนคติต่อการเรียนโดยใช้สื่อทางคอมพิวเตอร์ในด้านเนื้อหาในระดับมาก มีทัศนคติด้านการนำเสนอในระดับมาก นอกจากนี้จากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเยนของนักศึกษาที่เรียนวิชาแคลคูลัสและเรขาคณิตวิเคราะห์ 3 เรื่องปริพันธ์หลายชั้น โดยใช้สื่อทางคอมพิวเตอร์ กับการเยนปกติในชั้นเรียน พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 เพื่อมห้การแก้ปัญหาขาดแคลนผู้สอนดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้นจึงควรมีการวิจัยเพิ่มเติม โดยขยายเนื้อหาให้ครอบคลุมทั้งรายวิชาให้สมบูรณ์รวมถึงการวิจัยในลักษณะนี้ในรายวิชาคณิตศาสตร์อื่นๆด้วย
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    ผลการเรียนด้วยกิจกรรมห้องเรียนออนไลน์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) กฤติกา สังขวดี
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การวิจัยเพื่อพัฒนาชุดการเรียนการสอนวิชาปฏิบัติการเคมีอินทรีย์ 2
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) กุลยา จันทร์อรุณ
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาปฏิบัติการเคมีอินทรีย์ 2 ที่เน้นการเรียนการสอนแบบปฏิบัติการ (Laboratory approach) และทักษะกระทวนการทางวิทยาศาสตร์โยได้ทำการสร้างบทเรียนสำเร็จรูป 5 ชุดเนื้อหาของชุดการเรียนการสอนสอดคล้องกับหลักสูตรมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม พุทธศักราช 2550 โดยเน้นเนื้อหาส่วนหนึ่งในรายวิชาปฏิบัติการเคมีอินทรีย์ 2 และได้นำชุดการสอนนี้ทดลองใช้กับนักศึกษากลุ่มตัวอย่างในมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม 40 คน เพื่อทดสอบประสิทธิภาพชองชุดการเรียนการสอนทั้ง 3ด้าน คือ ทางด้านเจตคติ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา และประสิทธิภาพของชุดบทเรียนสำเร็จรูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดการเรียนการสอน แบบสอบถามวัดเจตคติ และแบบประเมินตนเองก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูป การวิเคราะห์ข้อมูลใชโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Window ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษษมีเจตคติที่ดีต่อบทเรียนสำเร็จรูปทุก ๆ ด้านอยู่ในระดับดี (3.5-4.19) เช่นด้านวัตถุประสงค์ เนื้อหากระชับ และชัดเจน ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างใช้เหตุผลและความคิด การได้ใช้เครื่องมือ และได้ทำการทดลองด้วนตนเองทุกขั้นตอน ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา พบว่า ผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปทุกชุดมีความแตกต่างกัน โดยหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปนักศึกษามีการเยนรู้ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปแต่ละชุดอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดE1 : E2 = 75 : 75 โดยมีค่าเบี่ยงเบนได้±5% เมื่อ E1 เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนนจากรายงานผลการศึกษาบทเรียน E2 เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนนจากแบบประเมินตนเองเมื่อสิ้นสุดการดำเนินกิจกรรมในบทเรียนสำเร็จรูปแต่ละชุด
  • รายการถูกจำกัด
    อิเล็กทรอนิกส์ 3
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2531) ประสิทธิ์ สิงหเดช