วิทยานิพนธ์
Permanent URI for this collectionhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/132
ค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทยสำหรับนักเรียนสองภาษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2553) บุญรักษา มั่งเกตุ; ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์; อรอนงค์ อิงคะสุวณิชย์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทยสำหรับนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อศึกษาผลการใช้แบบฝึกโดยเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนคำภาษาไทย ของนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนเสริมทักษะโดยใช้แบบฝึกสอนเสริมทักษะ ก่อนสอนเสริมทักษะกับหลังสอนเสริมทักษะ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนจ่าการบุญ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลกเขต 1 ที่มีผลการสอบจุดประสงค์ด้านการเขียนสะกดคำภาษาไทย ที่สะกดคำด้วยแม่กก แม่กด แม่กน แม่กบ ไม่เผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย คู่มือการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย และ แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนสะกดคำภาษาไทย จำนวน 9 แบบฝึกกับกลุ่มตัวอย่าง เป็นเวลา 20 ชั่วโมง แล้วทดสอบหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1. แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย สำหรับนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 9 แบบฝึก มีประสิทธิภาพเท่ากับ 94.34/94.44, 97.68/91.33, 96.00/88.89, 97.33/91.11, 92.19/86.00, 94.05/91.78, 94.84/91.56, 94.71/96.00, และ 95.00/95.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2. ทักษะในการเขียนสะกดคำภาษาไทย สำหรับนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังสอนเสริมสูงกว่าก่อนสอนเสริมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนสังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสตอรี่ไลน์กับวิธีสอนแบบปกติ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ปราณี จินดาวงษ์; ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสดอรีไลน์และวิธีสอนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบางระก้าวิทยศึกษา อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ในปีการศึกษา 2549 จำนวน 81 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 41 คน กลุ่มควบคุม 40 คน ดำเนินการโดยการทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและแบบวัดความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทดลองสอนแต่ละกลุ่มใช้เวลา 22 ชั่วโมง และทดสอบหลังเรียนด้วยเครื่องมือเดียวกันกับการทดสอบก่อนเรียนวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ทดสอบสมมุติฐานด้วย สถิติทดสอบทีแบบสองกลุ่มสัมพันธ์กัน (Dependent Sample t – test) และสถิติทีแบบสองกลุ่มเป็นอิสระต่อกัน (Independent Sample t – test) ผลวิจัยพบว่า 1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสดอรีไลน์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบปกติหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสดอรีไลน์สูงกว่าวิธีสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05