วิจัย
Permanent URI for this collectionhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/155
ค้นหา
6 ผลลัพธ์
ผลลัพธ์การค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษารูปแบบการเลี้ยงไก่ไข่ที่ส่งผลต่อสมรรถภาพการผลิตและคุณภาพไข่(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) สุกัญยา แตงโม; สุภาวดี แหยมคง; ประภาศิริ ใจย่อง; พัทธนันท์ โกธรรม; ต๋วน เหงียน ง๊อกรายการ การเข้าถึงแบบเปิด นวัตกรรมการบูรณาการการใช้ประโยชน์จากเศษอาหารแบบครบวงจร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ชัชวินทร์ นวลศรี; คงเดช พะสีนาม; ปุณณดา ทะรังศรี; ธันวมาส กาศสนุก; จักรกฤช ศรีละออกระบวนการหมักแบบไร้อากาศเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นวิธีการกำจัดเศษอาหารที่มีประสิทธิภาพและยังได้พลังงานทดแทนกลับมาใช้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่สุดประการหนึ่งคือการลดต่ำลงของค่า pH ในกระบวนการหมัก อันเนื่องมาจากความไม่สมดุลของการผลิตกรดไขมันระเหยง่าย (Volatile Fatty Acids; VFAs) ที่สร้างขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่การนำ VFAs ไปใช้ในการสร้างแก๊สมีเทนเกิดขึ้นได้ช้า ส่งผลให้เกิดการสะสมของ VFAs ในระบบ ซึ่งแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาคือ การนำบัฟเฟอร์มาใช้ในการควบคุมค่า pH ของกระบวนการหมักแบบไร้อากาศ ชุดโครงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาชนิดและความเข้มข้นของบัฟเฟอร์ที่เหมาะสมต่อกระบวนการผลิตแก๊สมีเทนจากเศษอาหาร โดยมีการศึกษาทั้งถังหมักแก๊สมีเทนในระดับห้องปฏิบัติการและถังหมักระดับครัวเรือน นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาการนำกากตะกอนและน้ำเสียจากกระบวนการผลิตแก๊สมีเทนมาผลิตเป็นบูยอินทรีย์น้ำ เพื่อประยุกต์ใช้ทางการเกษตร ผลการวิจัยพบว่า ถ่านกัมมันต์เป็นวัสดุที่มีความเหมาะสมต่อการนำมาใช้เป็นบัฟเฟอร์ของกระบวนการผลิตแก๊สมีเทนจากเศษอาหารมากที่สุด เนื่องจากถ่านกัมมันต์ช่วยรักษาระดับ pH ของน้ำหมัก ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตมีเทนสูงขึ้น และยังช่วยในการดูดซับสีและกลิ่นของน้ำหมักได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอัตราส่วนของถ่านกัมมันต์ต่อเศษอาหารที่เหมาะสมเท่ากับ 3:1 ทำให้ได้ปริมาตรแก๊สมีเทนสะสม ค่าผลได้ของมีเทน และค่าพลังงานของมีเทนสูงที่สุด เท่ากับ 959 mL, 107 mL/g-VS และ 3.83 kJ/g-VS ตามลำดับ นอกจากนี้ ถ่านกัมมันต์ยังส่งผลกระทบทางลบต่อกระบวนการผลิตแก๊สมีเทนน้อยที่สุดเมื่อใช้ในความเข้มข้นระดับสูง จากการขยายขนาดถังหมักสู่ระดับครัวเรือน พบว่าระบบสามารถรองรับปริมาณเศษอาหารได้ประมาณ 3-5 กิโลกรัมต่อวัน ถ่านกัมมันต์และปูนขาวสามารถใช้เป็นบัฟเฟอร์ได้โดยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน จากการนำกากตะกอนและน้ำทิ้งจากกระบวนการหมักมาผลิตเป็นบูยอินทรีย์น้ำและทดสอบการเจริญเติบโตกับผักคะน้า พบว่าสภาวะของปัจจัยที่เหมาะสมต่อการเพิ่มปริมาณน้ำหนักสดของคะน้า คือ ความเข้มข้นของบูยอินทรีย์น้ำ 26.29 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณในการใส่บูยอินทรีย์น้ำ 74.13 มิลลิลิตรต่อต้น และความถี่ในการใส่บูยอินทรีย์น้ำทุก 6.00 วัน ส่งผลให้ได้น้ำหนักสดของคะน้าเท่ากับ 96.58 กรัมรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาเกษตรกรรายย่อยอย่างมีส่วนร่วมในการเลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดีและเสริมไอโอดีน สู่ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้กับกลุ่มเกษตรกร ตำบลสมอแช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ประภาคิริ ใจผ่อง; สุภาวดี แหยมคง; พัทธนันท์ โกธรรม; ต๋วน เหงียน ง๊อกงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดีเสริมไอโอดีน ตำบลสมอแช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อส่งเสริมการมีรายได้และเกิดความเข้มแข็งสู่เศรษฐกิจฐานราก ทำให้เกษตรกรในท้องถิ่นเกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มและสามารถนำไปสู่ความยั่งยืนในอาชีพ ส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคม โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดีเสริมไอโอดีน ตำบลสมอแช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 30 ราย ร่วมกับคณะผู้วิจัย นักศึกษา และบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำการเก็บข้อมูลโดยการประชุมรวมกลุ่ม การสัมภาษณ์ และการสังเกต ทำให้ทราบถึงปัญหา อุปสรรค และความต้องการของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดีเสริมไอโอดีน มาสู่การแก้ไข โดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้ 1)ปัญหาด้านทุนอาหารที่ใช้เลี้ยงไก่ไข่ แก้ไขโดยการใช้วัตถุดิบในการผสมอาหารไก่ไข่และไอโอดีนในอาหารเอง 2)ปัญหาการตลาดหรือช่องทางในการจำหน่าย แก้ไขโดยเปิดช่องทางในการจำหน่ายทาง Social media ได้แก่ Facebook และ 3)เกษตรกรมีความต้องการแปรรูปผลิตภัณฑ์ใช้ไก่ โดยการแปรรูปเป็นไข่ไก่เค็มสมุนไพร จากนั้นทำการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) โดยคณะผู้วิจัยใช้ดุลยพินิจพิจารณาว่าสมาชิกในกลุ่มผู้เลี้ยงไก่ไข่คนใดน่าจะเป็นตัวแทนที่ดีจากกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดีเสริมไอโอดีน ตำบลสมอแช ซึ่งได้จำนวน 6 ฟาร์ม เพื่อทำการเปรียบเทียบคุณภาพไข่ ปริมาณไอโอดีนในไข่ไก่ และรายได้เฉลี่ยต่อวันในการจำหน่ายไข่ไก่ก่อนและหลังการดำเนินงานด้วย t-test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ α = 0.05 จากผลการดำเนินงานพบว่า ค่าคุณภาพไข่ ปริมาณของไอโอดีนในไข่ไก่ และรายได้เฉลี่ยต่อวันของเกษตรกรจากการจำหน่ายไข่ไก่ของฟาร์มเกษตรกร 6 ฟาร์ม ทั้งก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) นอกจากนี้จากการดำเนินงานดังกล่าวรวมกันทำให้เกิดแนวทางในการจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดีเสริมไอโอดีน ตำบลสมอแชในอนาคต เป็นการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับเกษตรกรและชุมชน โดยการพัฒนากลุ่มเกษตรกรเป็นอาชีพเชิงรูปธรรมได้ต่อไปรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาเม็ดปิดอัลจิเนตบรรจุสารสกัดฟักข้าว เพื่อเป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) จิรศิต อินทร; เปรมนภา สีโสภา; ศรัณญา สอนมณีฟักข้าวเป็นพืชสมุนไพรที่พบว่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูงที่มีศักยภาพนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิว งานวิจัยนี้ได้ทำการพัฒนาสูตรเม็ดปิดบรรจุสารสกัดฟักข้าวโดยพัฒนาจากไมโครอิมัลชันและอิมัลชัน จากนั้นทำการคัดเลือกสูตรเม็ดปิดที่มีความคงตัวของสารเบต้าแคโรทีนสูงที่สุด มาพัฒนาเป็นตัวรับเซรั่มบำรุงผิวหน้าผสมเม็ดปิดที่บรรจุสารสกัดฟักข้าว และศึกษาความคงตัวของผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้า ผลการผลิตเม็ดปิดพบว่าเม็ดปิดอิมัลชันสามารถบรรจุสารสกัดฟักข้าวได้มากกว่าสูตรไมโครอิมัลชัน โดยที่เม็ดปิดสูตร X2 มีประสิทธิภาพในการกักเก็บเบต้าแคโรทีนสูงที่สุดและคงตัวสูงสุดในสภาวะพีเอช 5.0 เม็ดปิดสูตร X2A และ X2P มีร้อยละปริมาณเบต้าแคโรทีนคงเหลือมากกว่าร้อยละ 85 ที่สภาวะเร่งเป็นระยะเวลา 1 เดือน ผลการทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้าผสมเม็ดปิดบรรจุสารสกัดฟักข้าวพบว่าทุกสูตรมีค่าพีเอชและค่าสีเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยและมีค่าความหนืด ลดลงทุกสูตร โดยมีปริมาณสารเบต้าแคโรทีนคงเหลือมากกว่าร้อยละ 70 เซรั่มบำรุงผิวหน้าสูตรที่ X2AF01, X2AF04, X2PF01 และ X2PF04 ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อประเมินด้วยสายตา ผลจากการ ทดสอบผู้บริโภคพบว่า สูตร X2PF04 ได้รับคะแนนความชอบมากที่สุด จากการศึกษาทั้งหมดสรุปได้ว่าการบรรจุสารสกัดฟักข้าวในเม็ดปิดอิมัลชัน สามารถนำมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางดูแลผิวได้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรั่มจากน้ำมันรำข้าวโดยการใช้ ระบบไมโครอิมัลชันเพื่อเป็นกลยุทธ์ในการสร้างผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ศนิพร จันทร์บุรีการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรั่มจากน้ำมันรำข้าวโดยระบบไมโครอิมัลชัน ในเบื้องต้นได้มีการเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันรำข้าวจากข้าวไรซ์เบอร์รี่และข้าวหอมมะลิด้วยวิธี DPPH จากผลการทดลองพบว่าน้ำมันรำข้าวจากข้าวไรซ์เบอร์รี่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าน้ำมันรำข้าวจากข้าวหอมมะลิอย่างมีนัยสำคัญ (ประมาณ 2 เท่า) (P<0.05) จากนั้นนำมาพัฒนาระบบไมโครอิมัลชันประกอบด้วยน้ำมันรำข้าวจากข้าวไรซ์เบอร์รี่, Eumulgin® VL 75 และ Cetiol® HE ซึ่งทำหน้าที่เป็นวัฏภาคน้ำมัน วัฏภาคสารลดแรงตึงผิว และวัฏภาคสารลดแรงตึงผิวร่วม ตามลำดับ โดยอัตราส่วนที่เหมาะสมสำหรับการนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรั่มจะประกอบด้วยน้ำมันรำข้าวจากข้าวไรซ์เบอร์รี่, Eumulgin® VL 75, Cetiol® HE และน้ำที่ปริมาณร้อยละ 35, 44, 11 และ 10 ตามลำดับ จากการประเมินทางประสาทสัมผัสพบว่าคุณลักษณะทางด้านความชอบโดยรวม ลักษณะปรากฏ สี และความใส พบว่าสูตรที่เหมาะสมได้คะแนนความชอบเฉลี่ยเท่ากับ 5.1, 5.7, 5.5 และ 5.0 คะแนนตามลำดับจากคะแนนเต็ม 7 คะแนน นอกจากนี้การทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์เซรั่มด้วยวิธี Freeze-thaw cycle พบว่าไม่เกิดการแยกชั้นของตัวรับของผลิตภัณฑ์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างต้นจอกกับฟางข้าวต่อ ผลผลิตเห็ดฟางที่เพาะในตะกร้าพลาสติก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) อมรรัตน์ อุประปุย; อรพิน เสละคร; คงเดช พะสีนาม; ธันวมาส กาศสนุกงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างต้นจอกกับฟางข้าวสำหรับใช้เป็นวัสดุเพาะเห็ดฟางในตะกร้าพลาสติก โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design : CRD) แบ่งออกเป็น 5 สิ่งทดลองๆ ละ 4 ซ้ำ โดยใช้อัตราส่วนวัสดุเพาะ แตกต่างกัน ได้แก่ 1) จอกแห้ง 100% 2) จอกแห้ง 75% : ฟาง 25% 3) จอกแห้ง 50% : ฟาง 50% 4) จอกแห้ง 25% : ฟาง 75% และ 5) ฟาง 100% ผลการวิจัยหลังจากเพาะเห็ดฟางเป็นเวลา 13 วัน และเก็บผลผลิตติดต่อกันเป็นเวลา 15 วัน พบว่า มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) โดยการใช้ฟางข้าว 100% ให้น้ำหนักดอกรวม จำนวนดอก น้ำหนักต่อดอก และ ขนาดเส้นรอบวงของเห็ดฟาง เฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 740.46 กรัม 14.56 ดอกต่อตะกร้า 12.81 กรัมต่อดอก และ 12.44 เซนติเมตรต่อดอก ตามลำดับ